(๕)
คำว่าผลกรรม หรือการรับผลกรรม ก็มุ่งหมายอย่างนี้ และถูกตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ถ้าไม่อย่างนั้น จะออกนอกเรื่องนอกราวไป เราต้องเข้าใจ เรื่องเกิด เรื่องกรรม และการรับผลกรรมอย่างนี้
อย่างว่าเกิดเป็นผู้อยากได้ของรักอย่างใดขึ้นมาแล้วตายไป แล้วเกิดเป็นผู้ขโมยไปขโมย หรือว่าไปทำโจรกรรมเข้าจริงๆ แล้วก็ตายไป แล้วไปเกิดเป็นผู้บริโภคสิ่งนั้นเข้าไป หรือว่าไม่ได้บริโภคสิ่งนั้นเข้าไป เดี๋ยวไปเกิดเป็นจำเลย ถูกกล่าวหาแล้วเดี๋ยวไปเกิดเป็นนักโทษอยู่ในตะรางแล้ว ความเกิดอย่างนี้มีได้มาก และสับสนอย่างยิ่ง หลายสายหลายแนวคลุกเคล้ากันไป ดูมันให้ดีๆ จะเข้าใจ ถ้าหยุดความคิดได้เสียเมื่อไร เมื่อนั้นก็เป็นนิพพาน ซึ่งไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ถ้ามีการเกิด เป็นต้องรู้สึกว่าตัวกู-ของกูเรื่อย ก็เป็นวัฏสงสารไปเรื่อย คือทุกข์เรื่อยเป็นลูกโซ่ไปเลย
แต่เราอย่าไปเข้าใจผิดตรงที่ว่า ไม่เกิด ไม่เกิดนี้มันหมายถึงว่า จนขนาดไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ไปนั่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้นี้ไม่ใช่ มันกลับว่องไว (Active) มากที่สุด ที่ว่างจากตัวกูหรือว่างจากความเกิดมากที่สุดนั้น กลับเป็นสติปัญญามากที่สุด ทำอะไรได้คล่องแคล่วที่สุด เพราะมันไม่อาจ คิดผิด พูดผิด ทำผิด มันจึงทำได้รวดเร็ว
ที่ว่ามันไม่มีทางจะผิดได้ เพราะมันเป็นสติปัญญาอยู่โดยธรรมชาติ ในตัวธรรมชาติโดยอัตโนมัติ สิ่งที่เรียกว่า ความว่างจากตัวกู มันเป็นอย่างนี้เอง “เรา” ที่ว่าว่างจากตัวกูหรือผู้ที่ว่างจากตัวกู หรือผู้ที่เป็นนิพพานอยู่นี้ ทำอะไรได้หมด แต่แล้วไม่ทำอะไรผิดเลย เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง รวดเร็วอย่างยิ่ง มากมายอย่างยิ่ง นี้มันดีอย่างนี้
อย่าได้ไปเข้าใจว่า ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้แล้ว มันทำอะไรไม่ได้ หยุดทำอะไรไปหมด หนืดไปหมด เนือยไปหมด หรือมันเฉยไปเลย อย่างนั้นว่าเอาเอง เพราะความโง่ของตัวเอง ก็เลยทำให้กลัว กลัวความว่าง กลัวนิพพาน หรือกลัวจะหมดกิเลสตัณหา แล้วก็ไม่สนุกอย่างนี้เป็นต้น
ความหมดกิเลสตัณหา ยิ่งสนุกอย่างยิ่ง ยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นความสุข หรือความสนุกที่แท้จริง คือจะไม่เป็นอันตราย ไม่หลอกลวง ไม่เป็นมายา
ในความสุขสนุกสนานของคนปุถุชนนั้น มันไม่จริง มันหลอกลวง มันเป็นมายา แล้วมันใส่ความทุกข์ให้แก่ผู้นั้นเหมือนกับเหยื่อที่ใครกินเข้าไปแล้วมันติดเบ็ด นี้เรียกว่าตกอยู่ใต้อำนาจพญามาร มันก็วุ่นอยู่ตลอดเวลา มันก็จมอยู่ในวัฏสงสาร คือห่วงโซ่ของความทุกข์ หรือว่าทะเลวนของความทุกข์ พ้นขึ้นมาไม่ได้
นี้เรียกว่าเราอาศัยการดับตัวกูเสียได้ ด้วยมองเห็นตัวกู-ของกูนี้ว่าเป็นมายา โดยอาศัยการปฏิบัติตามหลักของปฏิจจสมุปบาท นับว่าเป็นสายหนึ่งแนวหนึ่ง หรืออีกวิธีหนึ่ง
อาตมาจะยกตัวอย่างมาหลายๆ แนว เพื่อให้เป็นตัวอย่าง เช่นว่ามองที่อารมณ์ คือมองลงไปที่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ หกประการที่จะมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าแม้แต่อารมณ์นี้ มันก็เป็นมายา โดยอาศัยความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราอย่าทำเล่นกับเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ใช่เรื่องสำหรับคนแก่ หรือว่าเป็นเรื่องเอาไว้สวดศพคนตายแล้ว ในเป็นเรื่องที่ต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับคนเป็น ๆ
ถ้าใครสามารถเอาความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้ามากำกับอยู่ในชีวิตประจำวันแล้ว คนนั้นได้ชื่อว่ามีเชื้อต้านทานโรคสูงสุด แล้วอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส นั้นจะไม่เกิดเป็นพิษขึ้นมาได้ เราจะมีอยู่ เป็นอยู่อย่างมีความเกษม
บาลีใช้คำว่า เขมะ เกษมนี้เป็นคำสันสกฤต คือ กษมะ แล้วมาเป็นไทยว่า เกษม เราจะเป็นอยู่อย่างเกษม
ก็น่าแปลกเหมือนกัน ที่ท่านไม่ใช้คำว่าเป็นสุข เพราะคำว่าสุขนี้มันออกจะเป็นมายา หรือหลอกลวงอยู่รูปหนึ่งเหมือนกัน เอาแค่เกษมก็แล้วกัน เกษมหมายความว่าอิสระและสงบเย็น
ถ้าจะพูดให้เห็นชัดหน่อย ไม่ให้เป็นที่ตั้งของความหลงก็เรียกว่า เกษมจากโยคะ โยคะ คือ เครื่องรบกวน เกษมจากเครื่องรบกวนนั้นคือ ว่าง หรือ นิพพาน
หากต้องการจะมีชีวิตอย่างเกษมแล้ว ต้องอาศัยความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้สมบูรณ์ มันจะต่อต้านกันได้กับอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่มากระทบไม่ให้ไปหลงรักหรือหลงเกลียด
เรื่องวุ่นวายมีอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คืออย่าไปหลงรักอย่างหนึ่ง ไปหลงเกลียดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องหัวเราะและร้องไห้ ถ้าใครมองเห็นว่าหัวเราะ มันก็กระหืดกระหอบเหมือนกัน สู้อยู่เฉยๆ ดีกว่า อย่าต้องหัวเราะ อย่าต้องร้องไห้นี่แหละ มันเป็นความเกษม
เพราะฉะนั้น เราอย่าได้ตกเป็นทาสของอารมณ์จนไปหัวเราะ หรือร้องไห้ตามอารมณ์ที่มายั่ว เราเป็นอิสระแก่ตัว หยุดอยู่หรือเกษมอยู่ อย่างนี้ดีกว่า นี่คือ การที่เราใช้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเครื่องมือกำกับชีวิตเป็นประจำวัน สามารถเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นมายา เป็น Illusion เหมือนอย่างที่ตัวกู-ของกู เป็น Illusion เพราะว่าตัวกู-ของกูมันเกิดจากอารมณ์ ตัวกู-ของกู เป็นมายา อารมณ์ทั้งหลายก็เป็นมายา เห็นได้ด้วยหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โรคไม่เกิด ความทุกข์ก็ไม่เกิด
ทีนี้เราจะตัดลัดมองไปดูสิ่งที่เป็นสุขเวทนา คือความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ที่เป็นสุขนั้น เรียกว่าสุขเวทนา ตัวสุขเวทนานั้นมันเป็นมายา เพราะว่ามันเป็นเหมือนลูกคลื่นที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆ ไม่ใช่ตัวจริงอะไร ที่พูดดังนี้ก็เพราะว่าในบรรดาสิ่งทั้งปวงในโลกทั้งหมด ทุกโลกไม่ว่าโลกไหน มันมีค่าอยู่ตรงที่ให้เกิดสุขเวทนา
คิดดูให้ดีว่า ท่านศึกษาเล่าเรียนทำไม ท่านประกอบอาชีพหน้าที่การงานทำไม ท่านสะสมทรัพย์สมบัติ เกียรติชื่อเสียง พวกพ้องบริวารทำไม มันก็เพื่อสุขเวทนาอย่างเดียว เพราะฉะนั้น แปลว่าอะไรๆ มันก็มารวมจุดอยู่ที่สุขเวทนาหมด ฉะนั้นถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้ จัดการกับเรื่องนี้ให้ถูกต้องเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ทุกเรื่องมันถูกหมด เพราะฉะนั้นจะต้องดูสุขเวทนาให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงว่ามันก็เป็นมายาชนิดหนึ่ง
เราจะต้องจัดการให้สมกันกับที่มันเป็นมายา ไม่ใช่ว่าจะต้องไปตั้งข้อรังเกียจ เกลียดชังมัน อย่างนั้นมันยิ่งบ้าบอที่สุด ถ้าเข้าไปหลงรักหลงเป็นทาสมัน ก็เป็นเรื่องบ้าบอที่สุด แต่ว่าจะไปจัดการกับมันอย่างไรให้ถูกต้อง นั่นแหละเป็นธรรมะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ และไม่ต้องเป็นโรคทางวิญญาณ
มันก็ต้องทำโดยวิธีพิจารณาให้เห็นว่า สุขเวทนานี้ที่แท้ก็คือมายา เป็นเหมือนลูกคลื่นลูกหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะน้ำถูกลมพัด หมายความว่า เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส เข้ามาแล้ว ความโง่ คืออวิชชา โมหะออกรับ กระทบกันแล้วเกิดเป็นคลื่น กล่าวคือ สุขเวทนา ขึ้นมา เดี๋ยวมันก็แตกกระจายไป ถ้ามองเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่ตกเป็นทาสของสุขเวทนา เราสามารถจะควบคุม จะจัดจะทำกับมันได้ในวิธีที่ไม่เป็นทุกข์ ครอบครัวก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะมีเราเป็นมูลเหตุ ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ โลกก็มีสันติภาพถาวร คือเป็นความสุขที่แท้จริงและถาวร นี่คืออานิสงส์ของการหายจากโรคโดยวิธีต่างๆ กัน ไม่เป็นโรคตัวกู ไม่เป็นโรคของกู
อาตมายกตัวอย่างมาเพียง ๓ อย่างก็พอแล้ว เพราะเวลาก็จะหมดอยู่แล้ว ว่าเราจะเห็นตัวกู-ของกูนี้เป็นมายาโดยหลักของ ปฏิจจสมุปบาท ก็ได้ หรือว่าอีกวิธีหนึ่ง เราจะเห็นอารมณ์ทั้งหก คือ รูป เสียง กลิ่น รส นี้มันเป็นมายา โดยหลักของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ หรือว่าเราจะเห็นสุขเวทนาว่าเป็นของมายา อย่างนี้ก็ได้
ทั้งหมดจะเป็นได้อย่างนั้น ก็ต้องดูให้ดี หรือระมัดระวังให้ดี มีสติสัมปชัญญะกันให้มาก ตรงขณะที่อารมณ์กระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั่นเอง เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านกำชับพระพาหิยะ ให้เห็นสักว่าเห็น ได้ยิน สักว่าได้ยิน อย่าให้ปรุงเวทนา หรือถ้าปรุงเป็นเวทนาแล้ว ก็อย่าให้ปรุงเป็นตัณหาก็ได้ ยังได้อีกทีหนึ่ง แล้วก็ไปสนใจเรื่องว่างเรื่องวุ่นให้มากที่สุด
พูดเพียงครั้งเดียว หรือฟังเพียงครั้งแรกนี้ พอเข้าใจเลา ๆ ต้องไปสังเกตจนจับให้ได้ว่า เราเองแท้จริงก็มีว่างอยู่มาก เวลาที่เราว่าง ไม่วุ่น หรือมีสติปัญญามีอยู่มาก วุ่น หรือความรู้สึกที่เป็นตัวกู-ของกูนั้น มันมาเป็นพัก ๆ คราว ๆ ที่เรียกว่าความเกิดนั้น มันมาเป็นคราว ๆ เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที แต่ว่าขณะที่ไม่เกิดนั้นไม่เป็นทุกข์เลยและมีอยู่มาก แล้วคนก็โง่เอามองข้ามไปเสียเอง คือมองข้ามนิพพานที่มีอยู่เองไปเสีย มันจึงมองไม่เห็นว่ามีนิพพาน
แม้เป็นนิพพานน้อย ๆ นิพพานชิมลองก็จริง แต่ว่าก็เป็นนิพพานอย่างเดียวกับนิพพานจริง หรือนิพพานถาวร เพียงแต่ว่ามันไม่ถาวร เพราะว่าเราไม่สามารถป้องกันโรค ไม่สามารถทำลายโรค โรคจึงเข้ามาแทรกเป็นพัก ๆ นิพพานก็ขาดเป็นห้วง ๆ
ถ้าใครมีบุญ คือฉลาดถึงกับรู้ว่า โดยที่แท้ จิตโดยพื้นฐานนั้นมันว่าง หรือเป็นนิพพานอยู่เองแล้ว เรื่องมันก็ระวังอยู่แต่เพียงว่า อย่าให้ของใหม่เข้ามาแทรกแซง เจ้าบ้านว่างดีอยู่แล้ว แขกอาคันตุกะนั่นคือวุ่น เพราะฉะนั้นอย่าให้มันเข้ามา ไล่มันออกไป ไม่ให้มันเข้ามาในบ้านในเรือนของเรา มันก็ว่างอยู่ตลอดเวลาได้
วิธีไล่ออกไปก็คือวิธีปฏิบัติธรรมะ ตามหลักของพระพุทธเจ้า นี่เป็นสาเหตุให้เกิดกำลังใจ เกิดฉันทะ ความเชื่อศรัทธาแน่นแฟ้นในธรรมะ เกิดวิริยะ ความพากเพียรเอาจริงในธรรมะ เกิดจิตตะ เอาจิตจดจ่ออยู่กับธรรมะ เกิดวิมังสา สอดส่องอยู่เสมอ แล้วมันก็สำเร็จ เป็นของที่ไม่ยาก
แต่ถ้าว่าโง่ในตอนแรกแล้ว มันยากอย่างยิ่ง คือว่ายากยิ่งกว่ากลิ้งครกขึ้นภูเขา แต่ถ้าคลำถูกเงื่อนถูกปมแล้วละก็ มันง่ายยิ่งกว่ากลิ้งครกลงมาจากภูเขา
อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เราต้องมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ อย่าลืมและอย่าประมาท คอยจับให้พบความว่างและความวุ่นที่เกิดขึ้นเป็นประจำวัน
คำว่า เรา นี้หมายถึง จิต ไม่ใช่เราคือ ตัวกู-ของกู ให้มีจิตรักและพอใจในความว่าง คือนิพพานนี้อยู่เสมอไป อย่าได้มีจิตโน้มไปในทางที่เข้าใจผิด ไปหลงสิ่งที่วุ่น
เดี๋ยวนี้ปัญหายากที่สุดมันอยู่ที่ทุกคนไม่ชอบความดับทุกข์ จนไม่กล้ายืนยันว่าเกิดมานี้เพื่อไม่ทุกข์ มันกลายเป็นว่าเกิดมาเพื่ออะไรก็ได้ เอาทั้งนั้น ขอแต่ให้ได้ตามใจตัวได้สนุก ๆ ก็แล้วกัน ก็เลยปล่อยตามเรื่องไปหมด ที่จริงเรื่องดับทุกข์นี้มันไม่ยากไม่เหลือวิสัยอะไร มันพอ ๆ กับการงานต่าง ๆ แต่เราไม่เข้าใจ เราหันหลังให้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นทุกข์อยู่เรื่อย
เป็นอันว่าความหมดโรค หรือไม่เป็นโรคทางวิญญาณนี้ มันอยู่ตรงที่รู้จักทำไม่ให้ตัวกู-ของกู เกิดขึ้นมา นั่นแหละ คือความไม่มีโรค ซึ่งเราเรียกว่าเป็นลาภอย่างยิ่ง
คำนี้เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อของคนขายยาครั้งพุทธกาลว่า อโรคยา ปรมา ลาภา เที่ยวร้องก้องไปตามสี่แยก ไปตามถนนหนทาง มันไม่ได้หมายถึงโรคอย่างที่มันเป็นเพียงโรคปวดฟัน หรืออะไรทำนองนั้น โรคทางวิญญาณของพระพุทธเจ้านี้ ท่านหมายถึงโรคที่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นโรคอย่างแท้จริงอย่างนี้ แล้วความหมดโรคก็ต้องหมดจริงถึงขนาดนี้
เราพ้นโรคอยู่เป็นประจำทุกวันนี้ ก็เป็นการพ้นโรคอย่าง ตทังคปหาน ตทังควิมุตติ มันพ้นโรคโดย co-incident อยู่เป็นประจำวันอยู่เหมือนกัน co-incident ก็มีมาอีกรูปหนึ่ง คือว่ามีโรคฟลุคเกิดขึ้นมาแทรกแซงอยู่เสมอเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ดี เราอย่าลืมว่า เราพ้นโรคนี้เป็นประจำตามธรรมดา โดยไม่รู้สึกตัวนั้นมีอยู่ เรียกว่า ตทังควิมุตติ
ทีนี้บางคราว เราตั้งอกตั้งใจควบคุมกัน ก็ว่างได้มากกว่านั้นอีก พ้นจากโรคได้มากขึ้นไปอีก อย่างนี้เรียกว่า วิกขัมภนวิมุตติ เพราะเราคอยคุมมันไว้
ถ้าเราจัดการได้เด็ดขาดเลย ถอนรากถอนเง่าถอนเชื้อได้หมดเลย อย่างนี้เรียกว่า สมุจเฉทวิมุตติ หรือ สมุจเฉทปหาน คือฆ่าตายเลย ไม่เพียงแต่ฟลุค หรือไม่เพียงแต่ข่มขี่ไว้ชั่วคราว
ฉะนั้น ตามธรรมดา เราจึงได้ผลอย่างน้อยก็ได้ผลเป็น ตทังควิมุตติ ได้กำไรมากอยู่แล้ว ถ้ามากกว่านั้น ก็เป็น วิกขัมภนวิมุตติ และเป็น สมุจเฉทวิมุตติ ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายไปเลย เราก็ไม่ได้เป็นอยู่ด้วยความโลภ ความหลง และความปรารถนาต่าง ๆ แต่ว่าเป็นอยู่ด้วยความเกษม เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา เป็นความไม่ทุกข์ไม่ร้อน เป็นความสดชื่น เหมือนภาวะแห่งความหนุ่มความสาวที่ไม่รู้จักแก่เฒ่า นี่แหละคือความหายจากโรคทางวิญญาณ
ในที่สุดนี้ ก็ขอให้เราทุกคนที่รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มของพุทธบริษัทนี้ รู้จักความมุ่งหมายอันแท้จริงของการรวมกลุ่ม ถ้าเห็นว่าดีจริงอย่างนี้แล้ว ก็ช่วยกันสามัคคีกันในการที่จะเสียสละสิ่งที่ถูกกว่า เพื่อซื้อเอาสิ่งที่แพงกว่า ดีกว่า ประเสริฐกว่า เข้ามาให้ได้ คือช่วยกันรักษากิจการนี้ไว้ อย่าให้ล้มไป ให้เจริญก้าวหน้าเพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเอง แก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน ก็จะได้ชื่อว่า เกิดมาทีหนึ่ง ได้ทำสิ่งที่ดีที่มนุษย์ควรจะทำ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับแล้ว มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น มันมีเพียงเท่านั้น
ก็เป็นอันว่าจบเรื่องที่จะต้องเรียนจะต้องทำ หรือว่าจะต้องเสวยผลของการกระทำ และมีชีวิตอยู่โดยไม่เป็นทุกข์เลย ทั้งในขณะแสวงหาและขณะบริโภค เมื่อประกอบการงานเพื่อแสวงหา รวมทั้งการศึกษาเล่าเรียน การทำอาชีพเหล่านี้ เป็นการแสวงหา ขณะนี้เราก็ไม่เป็นทุกข์ ครั้นได้ผลเป็นเงินเป็นทอง ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรมาบริโภค เราก็ไม่เป็นทุกข์ มันไม่เป็นทุกข์ทั้ง ๒ สถานอย่างนี้ เราก็วิเศษอย่างยิ่ง เหมือนกับไปจับปลามากิน ก็ไม่ถูกเงี่ยงปลาตำ ได้ปลามากินแล้ว ก็ไม่ถูกก้างปลาเลย เมื่อจับปลาก็ไม่ทุกข์ เมื่อกินปลาก็ไม่ทุกข์ มันก็หมดกันเท่านั้น มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เพระฉะนั้น ขอให้ทุกคนรู้จักโรคทั้งทางกาย (Physical disease) และทางจิต (Mental disease) และทั้งทางวิญญาณ (Spiritual disease) กันให้ครบถ้วน อย่าให้ขาดตกบกพร่องเว้าแหว่งแต่ประการใด แล้วแก้ไขเยียวยามันไปทุกโรค ให้เป็นผู้ไม่มีโรค และได้ชื่อว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ที่แท้จริง
อาตมาขอยุติการบรรยาย “ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา” ในโอกาสนี้เพียงเท่านี้