เรื่อง
วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง
พระราชชัยกวี (ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญ)
ธรรมกถาในโอกาสพิเศษ ณ ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม (ศิริราช)
ในอุปการะของคณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ ๒๑ มกราคม ๒๕๐๕
------------------------------------------
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย!
การบรรยายในวันนี้จะได้กล่าวเฉพาะ วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง หลักทั่วๆ ไปเกี่ยวกับความว่างมีอยู่อย่างไร ได้อธิบายพิจารณากันแล้วอย่างละเอียดเมื่อคราวก่อนนี้ จึงเหลืออยู่แต่วิธีปฏิบัติอย่างไรจึงจะสำเร็จประโยชน์แก่ทุกคนทั่วๆ ไปทุกคน แม้ที่มีการศึกษาน้อย แม้ที่ไม่ได้เล่าเรียนปริยัติโดยตรง
หัวข้อเรื่องมีอยู่ว่า “วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง” เพราะฉะนั้น จะต้องสนใจในคำว่า “เป็นอยู่ด้วยความว่าง” มีชีวิตเป็นอยู่ ด้วยสุญญตาก็ได้ แล้วแต่จะเรียก เมื่อเอ่ยชื่อสุญญตา ก็ขอให้เข้าใจว่า หมายถึงความว่าง เพราะเป็นคำบาลี ภาษาไทยเราก็ว่าความว่าง ทีนี้จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะมีชีวิตเป็นอยู่ได้ด้วยความว่าง หรือเป็นจิตที่ว่าง ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะต้องรู้จักสังเกตให้ละเอียดลออสักหน่อย คือจะต้องสังเกตคำบางคำ ให้เข้าใจความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ คำว่า รู้ คำว่า เห็นแจ้ง คำว่า เข้าถึง คำว่า เป็นอยู่ด้วย หรือคำว่า มีความว่างอยู่ กำลังว่างอยู่ และคำว่า เป็นความว่างเสียเอง พูดโดยโวหารชาวบ้านธรรมดาก็ว่า เรารู้ คือเรารู้ความว่าง เราเห็นแจ้ง ก็คือเราเห็นแจ้งความว่าง เราเข้าถึง ก็คือเข้าถึงความว่าง เราเป็นอยู่ด้วย ก็คือ อยู่ด้วยความว่างนั่นเอง เรากำลังว่างอยู่ ก็คือเรากำลังว่างอยู่ด้วยความว่างนั่นเอง หรือว่าเราเป็นตัวความว่างเสียเอง บรรดาที่ออกชื่อว่า ว่าง-ว่างทั้งหมดนี้มันมีความหมายตื้นลึกกว่ากันอย่างไร? แล้วแต่จะมองกันในแง่ไหน จึงจะมีความหมายอย่างเดียวกัน หรือในระดับเดียวกันได้ ?
อันแรกอย่างว่า เรารู้ความว่าง คนทั่วๆ ไปเขาจะคิดว่า เราเรียน เราพูด เราปรึกษาหารือกันเรื่องความว่าง ถ้าหมายเพียงเท่านั้นแล้ว เรารู้ความว่างอย่างนี้ยังไม่ถูก
คำว่า “รู้” ในภาษาธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงรู้เพราะเรียน เพราะฟัง หรืออะไรทำนองนั้น หรือแม้แต่พูดว่า เราเข้าใจความว่าง ก็ยังไม่ใช่การรู้ถึงความว่างอยู่ดี
คำว่า “รู้” คำว่า “เข้าใจ” ตามภาษาชาวบ้านตามธรรมดานี้ เป็นเรื่องอ่านๆ ฟังๆ คิดๆ นึกๆ คำนวณไปตามเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น กิริยาเหล่านี้ใช้กันไม่ได้กับการรู้ความว่าง
การรู้ความว่างนั้น ต้องหมายถึงรู้สึกต่อความว่างที่จิตกำลังว่างอยู่จริงๆ เราต้องรู้ต่อสิ่งที่กำลังมีอยู่ในจิตใจจริงๆ ถ้าเรารู้ความว่าง ก็ต้องมีความว่างปรากฏอยู่ในขณะนั้น แล้วเรารู้ว่ามันเป็นอย่างไร อย่างนี้จึงเรียกว่า “รู้ความว่าง”
ที่เราฟังกันมาตั้งสองครั้งแล้ว และเอาไปคิดไปนึกดูตามเหตุผลว่า มันควรจะเป็นได้ หรือมันเป็นสิ่งที่อาจจะเป็นได้อย่างนั้นๆ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า “รู้ความว่าง” ในที่นี้ แต่ก็เป็นความรู้หรือเป็นความเข้าใจตามภาษาคนธรรมดา คำว่า รู้ ในที่นี้ ขอให้ถือว่า มีความหมายเฉพาะ ตามหลักของธรรมะในพระพุทธศาสนา
ถ้ารู้ธรรมะ ก็หมายความว่า กำลังมีธรรมะอยู่ทีเดียว และรู้สึกต่อธรรมะนั้นอยู่ จึงจะเรียกว่ารู้ธรรมะ ในที่นี้ก็เหมือนกัน “รู้ความว่าง” ก็หมายถึงมีความว่างปรากฏอยู่ในความรู้สึก
เพราะฉะนั้นจึงได้แนะให้สังเกต แนะแล้วแนะอีก ในคราวก่อนๆ นั้นว่า ในขณะใดที่จิตมีความว่าอยู่บ้าง แม้ไม่ใช่ว่างเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าสมบูรณ์ ก็ขอให้รู้จักมันไว้เรื่อยๆ ไป ในฐานะที่มันมีอยู่มากเหมือนกันในวันหนึ่งๆ หากแต่ว่ามันยังไม่แน่นอน ไม่เป็นความว่าง ที่เด็ดขาด ตายตัวลงไป ยังกลับไปกลับมาอยู่ แต่แม้กระนั้นก็ยังเป็นการดีมาก ถ้าใครอุตส่าห์สังเกต สนใจรู้จักความว่าง ในทำนองนั้น ไปก่อน จะเป็นเหตุให้พอใจในความว่าง และเป็นการง่ายที่จะปฏิบัติให้ลุถึงจริงๆ เพราะฉะนั้นในที่นี้ คำว่า เรารู้ความว่าง จึงหมายถึงว่า มีความว่างปรากฏอยู่ในความรู้สึก
ทีนี้คำว่า เห็นแจ้งความว่าง ก็ต้องอย่างเดียวกันอีก คือเห็นแจ้งประจักษ์ยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อเรารู้สึกว่าว่างอย่างไรแล้ว เราพิจารณาดู หรือทำความรู้สึกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงจะได้ชื่อว่าเห็นแจ้ง หรือเห็นแจ้งแทงตลอด คือรู้อย่างทั่วถึง
สำหรับคำว่า เราเข้าถึงความว่าง ก็อย่างเดียวกันอีก หมายความว่า ในขณะที่เราได้เข้าถึงตัวความว่าง พูดได้อย่างสมมติก็ว่า เราเข้าถึงความว่าง ถ้าพูดอย่างความจริง อย่างไม่ใช่สมมติก็ว่า จิตเข้าถึงความว่าง หรือว่าความรู้สึกนั้นเป็นผู้รู้สึกต่อความว่าง และเข้าถึงความว่าง
สำหรับคำว่า เป็นอยู่ด้วยความว่าง นั้น ย่อมหมายถึง สุญญตาวิหาร คือการเป็นอยู่ มีลมหายใจอยู่ด้วยความรู้สึกต่อความว่างนั้น ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่าเป็นอยู่ด้วยความว่าง
คำว่า ว่างอยู่ ก็หมายความว่า ไม่มีความรู้สึกว่าตัวตน ว่าของตัวหรือของตน ตัวเราหรือของเรา ตัวกูหรือของกู เหล่านี้ ซึ่งเป็นการปรุงแต่งของตัณหาอุปาทาน เมื่อว่างจากสิ่งเหล่านั้นอยู่ ก็คือว่างอยู่ อะไรมันว่าง? ก็หมายถึงจิตอีกนั่นเอง ว่าง คือ ว่างจากความรู้สึก ว่าตัวตน หรือ ว่าของตน ไม่มีทั้งอย่างหยาบ และอย่างละเอียด อย่างหยาบ เราให้ชื่อมันว่า ตัวกู-ของกู อย่างละเอียด เราให้ชื่อมันว่า ตัวตน-ของตน ถ้าจิตมีความว่างทั้งขนาดว่า ไม่มีตัวตนอย่างละเอียด ก็เรียกว่า เป็นความว่างเสียเอง คือจิตนั้น เป็นความว่างเสียเอง
สมกับที่คำสอนในพุทธศาสนาบางพวก บางนิกาย เขาพูดว่า จิตคือความว่าง ความว่างคือจิต ความว่าง คือพุทธะ พุทธะคือความว่าง ความว่างคือธรรมะ ธรรมะคือความว่าง มันมีเพียงสิ่งเดียงเท่านั้น
เป็นอันว่า อะไรทั้งหมดทั้งสิ้น ในบรรดาที่เรารู้จักนี้ ไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นต่อไป โดยการพิจารณาคำว่า “ว่าง” นี้ กันอีกครั้งหนึ่ง
คำพูดว่า ว่าง หรือ ความว่าง นี้ มันเล็งถึงของ ๒ สิ่ง คือเล็งถึงลักษณะ ๒ ลักษณะ คำว่า ว่าง ในลักษณะที่หนึ่งนั้น หมายถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวง ขอให้กำหนดจดจำว่า ลักษณะของสิ่งทั้งปวงคือความว่าง
คำว่า สิ่งทั้งปวง นี้จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า มันหมายถึงทุกสิ่งจริงๆ คำว่าทุกสิ่งนี้ หมายถึงรูปธรรม และ นามธรรม อย่างที่จะใช้โวหารเรียก นับตั้งแต่ฝุ่น อนุภาคเล็กนิดหนึ่งขึ้นไป จนกระทั่งของมีค่า จนกระทั่งนามธรรม จนกระทั่งนิพพาน เป็นที่สุด จากฝุ่นอนุภาคหนึ่งไปจนถึงนิพพานเป็นที่สุด นี้เรียกว่า “สิ่งทั้งปวง”
ทีนี้สิ่งทั้งปวงทุกสิ่งๆ แต่ละสิ่งๆ นี้ มีลักษณะคือความว่าง ความว่างที่หมายที่หนึ่งเป็นอย่างนี้ ต้องเข้าใจให้ดีเหมือนกัน ว่าในฝุ่นเม็ดหนึ่ง มันมีความว่างจากตัวตน ทีนี้สูงขึ้นมาเป็นในเงินในทอง ในเพชรพลอยอะไรก็ตามนี้ มันมีความว่างจากตัวตน เป็นลักษณะของมัน กระทั่งมาเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องความคิดนึก ความรู้สึกในสิ่งเหล่านั้นแต่ละสิ่ง ก็มีความว่างเป็นลักษณะของมัน คือว่างจากตัวตนนั่นเอง กระทั่งถึงการเรียนหรือการปฏิบัติธรรม มีลักษณะเป็นความว่างจากตัวตน กระทั่งถึงสิ่งที่เรียกว่า มรรถ ผล นิพพาน เป็นที่สุด ก็มีลักษณะที่เป็นความว่างจากตัวตนอยู่ที่นั่นด้วยกันทั้งนั้น แต่แล้วเราไม่เห็นเอง แม้แต่นกกระจอกที่กำลังบินไปบินมา อยู่นี้ ก็มีลักษณะแห่งความว่างโดยสมบูรณ์อยู่ที่นกกระจอกนั้น แต่เราก็ไม่เห็นเอง
ขอให้คิดดู ให้พิจารณาดู ให้สังเกตดู ให้คำนวณดู จนกระทั่งเห็นว่า ที่สิ่งทุกสิ่งมีความว่าง คือมีลักษณะแห่งความว่างแสดงอยู่ทั้งนั้น แต่ว่าเรามองไม่เห็นเอง แล้วจะโทษใคร? เหมือนอย่างปริศนาของพวกนิกายเซ็น ที่เขาเรียกว่าโกอานนี้ อย่างมีพูดว่า ต้นสนแก่คร่ำคร่า ต้นหนึ่ง กำลังแสดงธรรมอยู่ แม้อย่างนี้ก็หมายถึงข้อที่ว่า แม้แต่ต้นสนแก่นั้น มันก็แสดงความว่างได้เหมือนกัน คือมันมีความว่าง เหมือนกับทุกสิ่ง แต่คนก็มองไม่เห็น หรือว่าไม่ได้ยิน ในข้อที่มันแสดงธรรม คือแสดงลักษณะของความว่างอยู่ทุกเมื่อ
ขอให้เราจับให้ได้ว่า ความว่างนั้นมีอยู่ที่สิ่งทุกสิ่ง เพราะว่าเป็นลักษณะของสิ่งทุกสิ่ง สิ่งทุกสิ่งนี้มีลักษณะคือความว่าง นี่แหละคำว่าว่างในลักษณะทีแรก คือลักษณะของความว่างที่มีอยู่ที่สิ่งทุกสิ่ง จึงเรียกว่าว่าง นี่แหละเล็งถึงลักษณะของสิ่งทุกสิ่ง