(๑๕)
การปฏิบัติธรรม สามารถจัดทำพร้อมกันไปได้กับการทำการงาน หรือการเคลื่อนไหวในการงานประจำวันนั่นเอง เป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างสูงยิ่งไปเลย ไม่ต้องแยกจากกัน ขอแต่ให้มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้อยู่ งานก็ได้ผลดีด้วย ไม่ผิดพลาดด้วย และธรรมะก็เจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งพร้อมกันไปในตัวการงานนั้นด้วย นี้เรียกว่าเป็นอยู่ตามปกติในเรื่อง ไม่มีการเอา ไม่มีการได้
สำหรับการเป็น นั้นยิ่งง่ายขึ้นมาอีก คือขอให้คิดดูว่า “เป็นอะไรบ้าง ที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์ไปตามความเป็นนั้นๆ” นี่เป็นสูตร เป็นใจความสำคัญ คือว่าเป็นตัวสูตรตัว Formula เลยว่า “เป็นอะไรบ้างจะไม่ต้องเป็นทุกข์ไปตามความเป็นนั้นๆ” คำว่า “เป็น” นี้ก็เหมือนกัน หมายเอาแต่เป็นที่มีอุปาทาน เป็นด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่า เราเป็น เช่นเดียวกับคำว่า “ได้” หรือ “เอา” เหมือนกัน
ยกตัวอย่าง เช่นมีทองกองอยู่เต็มห้องนี้ ถ้าไม่รู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของ มันก็ไม่มีการได้หรือมีการเอา การเป็นนี้ แม้โดยทางโลกจะสมมติ ทางกฎหมายจะรับรองว่า ใครเป็นนั่นเป็นนี่ คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้อยู่ก็จริง แต่ในใจของเราจริงๆ นั้น อย่าไปรู้สึกอย่างนั้นเข้า อย่าไปหลง ไปเข้าใจผิดตามสมมติอย่างนั้นเข้า เช่นว่า คนหนึ่งคลอดบุตรออกมา คนผู้คลอดก็ต้องเป็นแม่ คนที่เขาคลอดออกมาก็ต้องเป็นลูก นี้ก็เป็นตามธรรมชาติ ถ้าอย่าไปยึดถือว่าเป็นแม่ มันก็ไม่เป็นแม่หรอกเพราะไปหลงเอาเอง ไปว่าเอาเอง ไปเข้าใจผิดเอาเองว่าเป็นแม่ มันก็เป็นแม่ อย่างนี้ควรถือว่าเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ (Animal Instinct) คือว่าสัตว์มันก็รู้สึกเป็น แม่ไก่ แม่สุนัข แม่วัว แม่อะไร มันก็รู้สึกว่ามันเป็นแม่และรักลูกเป็น นี้ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องทำ ไม่ต้องสร้าง มันเป็นอยู่ตามธรรมชาติของสัตว์
ถ้าถึงขั้นที่เป็นสติปัญญา มันต้องดีกว่านั้น มันต้องรู้จักทำลายความยึดถือ ที่มาจากความไม่รู้ อย่างนั้นเสียได้
คนบางคนคงจะคิดว่า แหม! เหี้ยมโหดทารุณจริง ไม่ให้รู้สึกว่าเป็นแม่ ไม่ให้รักลูกอย่างนั้นหรือ? ฟังให้ดี ไม่ได้หมายความอย่างนั้น คือว่าการเป็นแม่นี้ เป็นด้วยสติปัญญาก็ได้ เราจะปฏิบัติหน้าที่ของแม่อย่างไรก็ทำไปด้วยสติปัญญาได้ ไม่ต้องทำด้วยตัณหา อุปาทาน ซึ่งมันจะทำให้มีความทุกข์ทุกประการ ต้องน้ำตาไหลบ่อยๆ ต้องเหี่ยวแห้งใจบ่อยๆ ต้องเป็นอะไรบ่อยๆ แล้วไม่มีความสุขเลย นั่นแหละค่าที่เป็นแม่ไม่เป็น เป็นแม่ไม่ถูกวิธีของธรรมะ ต้องเป็นทุกข์เพราะลูก นี้เรียกว่าความทุกข์ของแม่
เมื่อเป็นแม่ ก็ต้องทุกข์อย่างแม่ เมื่อเป็นลูกก็ต้องทุกข์อย่างลูก เมื่อเป็นพ่อก็ต้องทุกข์อย่างพ่อ นี่ลองถามตัวเองดูทีว่าเกิดมาเป็นแม่เขานี่สนุกไหม? เกิดมาเป็นพ่อเขานี่สนุกไหม? คนที่สูงอายุที่ได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้ว อย่างที่เรียกว่ามีประสบการณ์ดีมาแล้ว ลองคิดดูซิว่าจะเป็นอย่างไร จะตอบว่าอย่างไร ถึงไม่ตอบก็คงสั่นหัวทั้งนั้น เป็นพ่อเขาสนุกไหม เป็นแม่เขาสนุกไหม อย่างนี้นี่คือสิ่งที่จะต้องศึกษา หรือรู้สึกอยู่เป็นปกติ แม้ในเวลาที่ไม่มีอารมณ์มากระทบ
ถ้าเป็นสามีสนุกไหม? เป็นภรรยานี้สนุกไหม? ไปคิดดูเอง คนที่เป็นสามีเป็นภรรยามาโดยสมบูรณ์แล้วจะสั่นหัวทั้งนั้น
ทีนี้ ถามว่าเป็นหญิงน่าสนุกไหม? เป็นชายน่าสนุกไหม? ถ้าสติปัญญาเดินมาโดยลำดับ และละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะสั่นหัวทั้งนั้น เป็นผู้หญิงก็ต้องมีความทุกข์อย่างผู้หญิง เป็นผู้ชายก็ต้องมีความทุกข์อย่างผู้ชาย
เป็นเด็กสนุกไหม? เป็นผู้ใหญ่สนุกไหม? เด็กๆ เขาคงจะตอบว่าสนุก แต่เราที่เป็นผู้ใหญ่ผู้เฒ่ามาแล้ว นี้ลองย้อนกลับไปดูทีว่า มันสนุกไหม? เด็กมันก็มีทุกข์ตามประสาเด็ก ผู้ใหญ่ก็เป็นทุกข์ตามประสาผู้ใหญ่ ถ้าหากมีความยึดมั่นถือมั่น
ทีนี้ขยายให้กว้างออกไปว่า เป็นคนน่าเป็นไหม? เป็นสัตว์เดรัจฉานน่าเป็นไหม? เป็นอะไรที่เป็นคู่ตรงข้ามนี้ กับที่ไม่ต้องเป็นอะไรเลย อันไหนจะดีกว่า เป็นคนธรรมดา กับเป็นสัตว์นรก อย่างนี้น่าเป็นไหม
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นคนนี้น่าเป็นไหม? เป็นเทวดาในสวรรค์นี้น่าเป็นไหม? นี้มันเป็นเครื่องวัดสติปัญญาของบุคคลว่าคนนั้นเขามองเห็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างสมบูรณ์ อย่างถูกต้องหรือไม่ ถ้าเขามองเป็นโทษของความยึดมั่นถือมั่นอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะสั่นหัวทั้งหมดอย่างเดียวกัน เพราะว่าเป็นคนนี้ก็ต้องมีความทุกข์ตามแบบของคน เป็นเทวดาก็ต้องมีความทุกข์ตามแบบของเทวดา
หมายความว่า ถ้าเกิดไปยึดมั่นว่าเราเป็นคน หรือว่าเราเป็นเทวดาขึ้นมาแล้ว นั่นแหละจะต้องเป็นทุกข์ตามแบบคนหรือเป็นทุกข์ตามแบบเทวดาทั้งนั้น
ถ้าว่าง คือไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอะไรเลย มันก็ไม่เป็นทั้งคน ไม่เป็นทั้งเทวดา มันก็เลยไม่มีความทุกข์อย่างคนไม่มีความทุกข์อย่างเทวดา นี่เรียกว่าว่าง ถ้าต้องเป็นคนตามความยึดมั่นถือมั่น หรือเป็นเทวดาตามความยึดมั่นถือมั่นแล้วมันสนุกไหม? นี่ขอให้คิดอย่างนี้ แล้วว่าเป็นคนสนุกไหม? เป็นเทวดาสนุกไหม? ถ้าใครเข้าถึงความจริงแล้วก็จะสั่นหัวทั้งนั้น
ทีนี้ให้ใกล้เข้ามาอีกว่า เป็นคนดีน่าเป็นไหม? เป็นคนชั่วน่าเป็นไหม? ถ้าถามว่า ใครอยากเป็นคนดีบ้าง คงยกมือกันสลอนไปหมดเลย เขายังมองไม่เห็นว่า ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นคนดีนั้น มันก็ต้องมีความทุกข์ไปตามแบบของคนดี ไปตามประสาของคนดี เช่นเดียวกับที่คนชั่ว จะต้องมีความทุกข์ ตามแบบประสาของคนชั่ว ถ้าลงยึดมั่นถือมั่นแล้วเป็นไม่มีความสุขเลย เพราะมันจะหนักชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ในตัวความเป็นนั่นเอง หากแต่ว่าความทุกข์บางอย่าง มันไม่แสดงออกมาให้เห็น แล้วมันมีความสนุกสนานเพลิดเพลินอะไรบางอย่างกลบเกลื่อนไว้ มันจึงทนทุกข์ในการมี-การเป็น-การได้ ทะเยอทะยาน ตื่น หรือเห่อที่จะเป็นนั่น-เป็นนี่อยู่ได้ด้วยการถูกหลอก
ที่จริงนั้น ธรรมชาติหลอกให้คนเราสู้ทนทุกข์ เช่นตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ ในกรณีที่ทุกข์ เพราะการสืบพันธ์ เพราะการคลอดลูกนี้ มันหลอกได้อย่างที่ตนเองก็สมัครใจทีเดียว ถ้าเขามองเห็นความจริงข้อนี้แล้ว ก็คงไม่เล่นด้วยกับการหลอกลวงของธรรมชาตินั้นเลย เป็นคนดี เป็นคนชั่วสนุกไหม? ลองคิดดู
หรือว่าใกล้เข้ามาอีกก็ว่า เป็นคนมีบุญน่าเป็นไหม? เป็นคนมีบาปน่าเป็นไหม? ทนที่ผลีผลามไม่ดูแลอะไรเลย คงจะยกมือทันทีว่า เป็นคนมีบุญน่าสนุกกันใหญ่ แต่คนที่เขาผ่านบุญมาโดยสมบูรณ์แล้ว ก็สั่นหัวว่า คนมีบุญก็ต้องเป็นทุกข์ไปตามแบบตามประสาของคนที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตนมีบุญ นี่คนมีบุญจะต้องเป็นทุกข์ไปตามประสาคนมีบุญ เช่นเดียวกับคนที่มีบาปต้องมีทุกข์ไปตามประสาคนมีบาป ทีนี้ใกล้เข้ามาอีกก็คือ เป็นคนมีความสุขน่าเป็นไหม? เป็นคนมีความทุกข์น่าเป็นไหม? คนก็ยิ่งยกมือกันสลอนมากกว่าคราวก่อนว่า จะขอให้เป็นคนมีความสุข ทีนี้ส่วนคนที่เคยมีความสุข เสวยสุขอย่างที่เรียกๆ กันนี้มาแล้ว ได้ผ่านมาแล้วกลับสั่นหัวว่าเป็นคนมีความสุขนี้ ก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของคนมีความสุข
ตอนนี้คงจะฟังไม่เข้าใจ ขอกล่าวซ้ำอีกว่า คนมีความสุข จะต้องมีความทุกข์ไปตามแบบของคนมีความสุข ข้อนี้ต้องนึกถึง ข้อที่ว่าในโลกนี้ชาวโลกเขาสมมติ เขาบัญญัติ เขายึดมั่นถือมั่นกันว่า คนอย่างไหนเป็นคนมีความสุข มีเงิน มีอำนาจวาสนา มีนั่นมีนี่ มีกามคุณ มีอะไรสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง เป็นคนมีความสุข แต่แล้วก็จงดูให้ดี มันจะมีความทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง รูปหนึ่ง ตามประสาคนมีความสุข
ไม่ต้องพูดถึงความสุขชนิดมีก้างอย่างนี้ ต่อให้เป็นความสุขชนิดที่เกิดมาจากสมาธิ สมาบัติ จากฌานของพวกฤๅษี มุนี ถ้าไปยึดมั่นถือมั่น ว่าฉันเป็นคนมีความสุขขึ้นมาแล้ว มันก็จะเกิดก้างขึ้นมาในเนื้อนั่นเอง แล้วติดคอ พวกนี้ยึดมั่นถือมั่นความสุขในรูปฌานเป็นต้น เหล่านี้ก็เรียกว่า เป็นคนมีทุกข์ไปตามประสาของคนมีความสุขจากรูปฌานนั้นเอง
เพราะฉะนั้น จึงมีบทบัญญัติให้ละ รูปราคะ อรูปราคะ เสียง ในสังโยชน์เบื้องปลาย ที่จะทำให้คนเป็นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าการที่ไปติด ไปยึดเข้า ว่าเรามีความสุข แม้จะเป็นความสุขที่เกิดจากธรรมะก็เถอะ มันจะยังคงเป็นก้างติดคอชนิดละเอียด อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เป็นธรรมดา และไม่เป็นธรรมะจริงขึ้นมาได้
ข้อที่จะไปยึดพระนิพพาน ว่าเป็นตัวตน หรือเป็นความสุขของเราขึ้นมานั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเพียงแต่พูดนั้นพูดได้ ว่านิพพานนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง แล้วยึดพระนิพพานว่าเป็นเรา เป็นของเรา เรามีสุขอย่างนิพพาน บรรลุนิพพานนี้มันพูดได้ แต่ตามความจริงนั้นมีไม่ได้ เพราะว่าผู้ที่มีความยึดถืออย่างนั้นอยู่ จะบรรลุถึงนิพพานไม่ได้เป็นอันขาด เพราะฉะนั้น ถ้าเขาสำคัญอยู่ว่า เขาได้รับ เขาเป็นผู้มีความสุขที่เกิดแต่นิพพานอย่างนี้ มันเป็นนิพพานจอมปลอมทั้งนั้น นิพพานจริงไม่มีทางที่จะมาอยู่ในฐานะที่ถูกยึดถืออย่างนี้ได้
นี่เราไล่ความสุขขึ้นไปตั้งแต่ความสุขของเด็กๆ ความสุขของผู้ใหญ่ ของคนหนุ่มสาว คนแก่คนเฒ่า คนมีอำนาจวาสนา กระทั่งคนเป็นเทวดา มีฌาน มีสมาบัติ อะไรเป็นที่สุด ถ้าลงยึดมั่นถือมั่นว่า ฉันมีความสุขละก็ มันต้องมีความทุกข์ไปตามแบบของคนมีความสุข ผู้ที่เข้าถึงความจริงจะรู้สึกดีอย่างนี้ ส่วนผู้ที่ไม่เข้าถึงความจริงก็ตื่น ก็เห่อ กันไปตามเรื่องตามราว เห่อเงิน เห่อทอง เห่ออำนาจวาสนา เห่อความสุข ทางเนื้อทางหนัง กระทั้งเห่อวิปัสสนา เห่อฌาน เห่อสมาบัติ เห่อจนต้องส่งโรงพยาบาลปากคลองสาน อย่างนี้แหละมันเป็นการแสดงอยู่ในตัวของมันเองแล้ว ว่ายึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพราะถ้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้ว คนมีความสุขก็จะต้องเป็นทุกข์ไปตามแบบของคนมีความสุข คำว่า “ทุกข์ไปตามแบบของคนมีความสุข” เด็กๆ ฟังไม่ถูก ฟังไม่ออก แต่ผู้สูงอายุควรจะฟังออก
ทีนี้ เราลองคิดดูอีกสักคู่หนึ่งว่า เกิดนี้สนุกไหม? ตายไปสนุกไหม? ให้เลือกเอาฝ่ายหนึ่งในคนคู่นี้ คือเกิดเป็นคนอยู่นี้สนุกไหม? หรือว่าตายไปก็คือไม่เป็นอยู่นี้สนุกไหม? เกิดกับตาย สองอย่างนี้อันไหนน่าสนุก คนเกิดอยู่น่าเกิด หรือคนตายน่าตาย ลองคิดดู ถ้ารู้ธรรมะจริงมันก็สั่นหัว ไม่เอาทั้งนั้น ไม่เอาทั้งเกิด ไม่เอาทั้งตาย แต่คนธรรมดาแล้วไม่อยากตาย อยากแต่เกิดแล้วไม่อยากตาย อยากเกิดเรื่อย อยากเกิดชนิดไม่รู้จักตายด้วยซ้ำไป หรือว่าถ้าจะต้องตายแน่แล้ว ก็ยังอยากเกิดอีก นั่นแหละคือความยึดมั่นถือมั่น
เราอาจตัดบทสั้นๆ ว่า คนเกิดก็ต้องมีความทุกข์ไปตามแบบของคนเกิด คนตายก็มีความทุกข์ไปตามแบบของคนตาย ต่อเมื่อไม่รู้สึกว่าเกิด ไม่รู้สึกว่าตาย คือ ว่าง นั่นแหละ จึงจะไม่มีความทุกข์เลย
ทำไมไม่นอนคิดเล่น นั่งคิดเล่น เดินคิดเล่นในเรื่องอย่างนี้ ในขณะที่ไม่มีอารมณ์อะไรมากระทบ ทำไมไม่ลองนอนคิดอย่างนี้ นั่งคิดอย่างนี้ เดินคิดอย่างนี้ หรือว่าเมื่อทำอะไรอยู่ หรือ เป็นอะไรอยู่ ทำไมไม่ลองคิดอย่างนี้
เมื่อเหน็ดเหนื่อย ยากลำบาก อยู่ด้วยความเป็นมารดาเป็นต้นอย่างนี้ ทำไม่ไม่รู้สึกบ้างว่า ความเป็นมารดาอย่างนี้ไม่น่าสนุก แล้วความเป็นสามี ความเป็นภรรยา ความเป็นอะไรต่างๆ อย่างที่ว่ามาแล้วทั้งหมดนี้ เมื่อกำลังวุ่นอยู่ด้วยอาการของความเป็นนั้นๆ ทำไมไม่รู้สึกว่านี้ไม่สนุกเลย ทั้งๆ ที่ต้องร้องไห้อยู่ ก็ยังไม่รู้สึกว่านี้ไม่สนุกเลย ยังสนุกอยู่เรื่อย สนุกอยู่ทั้งๆ ต้องร้องไห้อย่างนั้น
เพราะฉะนั้น เราจะต้องคิดดูให้ดีอีกทีหนึ่ง ในครั้งสุดท้ายว่า เกิดก็ตาม ไม่เกิดก็ตาม ไม่ไหวทั้งนั้น เกิดก็ไม่ว่าง ไม่เกิดก็ไม่ว่าง ถ้าไปยึดถือว่าไม่เกิดแล้ว มันก็ไม่ว่างเหมือนกัน ตอนนี้มันจะต้องเป็นตอนที่ฟังยากที่สุด หรือจะว่าปฏิบัติยากที่สุดก็ตามใจ ระหว่างเกิดกับไม่เกิด นี่มาถึงคู่สุดท้ายนี้ เราไม่เอาทั้งนั้น เราไม่เข้าไปยึดในคำว่า เกิด หรือ ไม่เกิด ก็ไม่ยึด มันจึงจะว่าง
เมื่อพูดถึง “เอา” ถึง “เป็น” มาเรื่อยๆแล้ว ไม่เอา ไม่เป็น มาเรื่อยๆ แล้ว มาถึง “เกิด” “ไม่เกิด” เป็นคู่ขึ้นมาอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็จะยึดเอาที่ “ไม่เกิด” เข้าอีก ฉะนั้นในอันดับสุดท้าย ข้อปฏิบัติของเรา จะต้องสาวก้าวไปจนกระทั่งถึงว่า ความรู้ว่าไม่เกิด อย่างนี้ก็ต้องไม่เป็นที่ยึดมั่นถือมั่น คือให้สลายไปด้วยเหมือนกัน มันจึงจะว่างจริงๆ ขึ้นมา คือเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ นั่นแหละจึงจะเป็นเรื่อง ไม่เกิด ที่แท้จริง คือเป็นความดับที่ไม่เหลือที่แท้จริง
คำพูดตอนนี้ออกจะฟัดไปฟัดมาอยู่ แต่ความหมายนั้นไม่ได้ฟัดไปฟัดมา มันมีความจริงอยู่ แยกออกจากกันได้เด็ดขาดเลย ฉะนั้นท่านอย่าไปยึดมั่นในนิพพานว่าเป็นความไม่เกิด แล้วก็วิเศษวิโสอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในวัฏฏสงสารว่าเกิดกันใหญ่ เกิดมันสนุกดี มันต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสองฝ่าย มันจึงจะเป็นความว่าง และเป็นความไม่เกิด การปฏิบัติในเวลาปกติ จะต้องเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ไป
สำหรับในขณะที่เรากำลังทำการงานอย่างยิ่ง คืองานกัมมัฏฐาน กล่าวคือปฏิบัติสมาธิภาวนา วิปัสสนาในลักษณะที่เป็นเทคนิคจัด เพื่อให้รู้โทษของความยึดมั่นถือมั่น มันก็เรื่องว่างจากความยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวกันอีก ข้อนี้ต้องทำตามที่ได้เล่าเรียนศึกษามาเป็นอย่างมาก ไม่ใช่คนธรรมดาที่ไม่รู้หนังสือจะทำได้ เพราะฉะนั้นมันจึงมีหลัก มีคำอธิบาย อย่างที่เคยอธิบายมาแล้วมากมาย ไปอ่านดู หรือนึกถึงที่เคยกล่าวมาแล้ว ทั้งหมดนี้รวมกันเรียกว่าข้อปฏิบัติในขณะปกติ