(๑๖)
ทีนี้ก็เป็น การปฏิบัติในโอกาสที่สอง คือในขณะที่อารมณ์มากระทบ หมายความว่า เมื่อมีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มากระทบที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ผิวหนัง เหล่านี้จะต้องปฏิบัติในลักษณะที่ให้ผัสสะ-หยุดอยู่ที่ผัสสะ ให้เวทนา-หยุดอยู่ที่เวทนา อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งก็ได้บรรยายทั่วไปในทุกหนทุกแห่ง กระทั่งที่ได้บรรยายที่นี่คราวก่อนมาแล้ว จนบางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจที่ว่าการกระทบแล้วหยุดอยู่แค่ผัสสะนี้ มันเป็นชั้นดีเลิศ ถ้าชั้นธรรมดา ก็เลยไปถึงเวทนา แล้วหยุดอยู่ที่เวทนา อย่าปรุงเป็นตัณหาอุปาทาน เป็นตัวกู เป็นของกูขึ้นมา
บางคน หรือนักพูดตามศาลาวัด หรือนักสอนตามโรงเรียนนักธรรมก็เหมือนกัน เขาพูดว่า หยุดอยู่แค่ผัสสะนั้นไม่มี ต้องไปถึงเวทนาเสมอ นั่นเพราะเขายึดมั่นถือมั่นหนังสือหรือถ้อยคำ หรือแบบอย่างอะไรอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ความจริง
ความจริง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เมื่อเห็นรูปสักว่าเห็น ดมกลิ่นสักว่าดม ลิ้มรสสักว่าลิ้ม สัมผัสสักว่าสัมผัส นี้ก็มีอยู่ ถ้าทำได้อย่างนี้ ตัวเธอไม่มี คือตัวกูไม่เกิด แล้วก็เป็นที่สุดทุกข์ คือว่างอยู่เรื่อย ขอให้สังเกตอย่างนี้ก็แล้วกันว่า เมื่อเราทอดสายตาไปยังทางใดทางหนึ่ง เห็นภาพนั่น เห็นภาพนี่ ลองเหลือบตาไปทางประตูหน้าต่าง มันก็เป็นเพียงผัสสะเท่านั้น ไม่เกิดเวทนา พอใจ หรือไม่พอใจอะไร เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส อันใดเข้ามา ในลักษณะผัสสะอย่างนี้ ก็ให้มันหยุดอยู่อย่างนั้นบ้างเป็นไร
เหมือนกับทหารที่นอนข้างปืนใหญ่ เมื่อปืนใหญ่ลั่นตึงออกไป มันก็เพียงแต่ได้ยินเสียงเท่านั้น ไม่เกิดเวทนาอะไร ยังนอนหลับสบายอยู่ด้วยซ้ำไป หนักๆ เข้าไม่สะดุ้งไม่ตื่น ไม่อะไรเลย มันเป็นแต่เพียงเสียงปืนใหญ่กระทบหู แล้วก็เลิกกันอย่างนี้
ให้ผัสสะหยุดอยู่เพียงแค่ผัสสะอย่างนี้ ในเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิง เสียงผู้ชาย เสียงคู่รัก เสียงอะไรต่างๆ เหล่านี้มันจะได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็ต้องนับว่าเก่งมาก
ข้อนี้นึกดูอีกทีหนึ่งก็ว่า บางทีสัตว์มันจะเก่งกว่าคน เพราะสัตว์ไม่มีปัญญาชนิดรู้มากยากนาน ทีนี้ถ้าเราอยากเก่งอย่างถึงที่สุดอย่างนั้นบ้างก็ต้องหัด ชนิดผัสสะสักว่าผัสสะ
แต่ถ้าสู้ไม่ไหว ยอมแพ้ ก็ไปหยุดที่เวทนาก็ได้ พอเวทนารู้สึกสบาย ไม่สบาย พอใจ ไม่พอใจ แล้วก็ให้หยุดอยู่แค่นั้น หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ดับไปเพียงเท่านั้น อย่าเกิดความอยากต่อไปอย่างนั้นอย่างนี้ ไปตามเรื่องของความอยากของกิเลสตัณหา อุปาทาน อย่างนี้ก็ได้ นี้เรียกว่าเราประพฤติปฏิบัติในโอกาสที่กระทบกันกับอารมณ์ ให้ปฏิบัติอย่างนี้
ทีนี้เวลายังมีเหลืออยู่เพียงนิดหน่อยนี้ อยากจะพูดเรื่อง การปฏิบัติในโอกาสที่สาม คือ ในขณะที่จะดับจิต ร่างกายจะแตกตายลงไปนี้ จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะว่าง ข้อนี้จะต้องอาศัยหลักที่ว่า ดับไม่เหลือ-ดับไม่เหลือ มาเป็นหลักอยู่เป็นประจำ
การที่จะต้องตายไปตามธรรมชาติ คือแก่ชราแล้วจะต้องตายไปตามธรรมชาตินี้ เป็นสิ่งที่เด็ดขาดแน่นอน ถ้าใครไปถึงอายุปูนนั้นเข้า ไปถึงระยะนั้นเข้า มันเรียกว่ามีเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว จะทำอย่างไรมันจึงจะทันแก่เวลา?
ทีนี้เพื่อให้ทันแก่เวลานั่นเอง เป็นคนแก่ไม่รู้หนังสือ ไม่มีเวลาเรียกอะไรมากได้ เพราะว่าสติปัญญา มันสมองไม่อำนวยมากมายอะไร ก็จะถือหลักอย่างที่ว่า ดับไม่เหลือแห่งตัวกู ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง
ตามปกติ ก็ให้ดูอยู่ว่า เป็นคนก็ไม่สนุก เป็นคนแก่ก็ไม่สนุก เป็นเทวดาก็ไม่สนุก เป็นพ่อก็ไม่สนุก เป็นแม่ก็ไม่สนุก เป็นลูกก็ไม่สนุก เป็นสามีก็ไม่สนุก เป็นภรรยาก็ไม่สนุก เป็นบ่าวก็ไม่สนุก เป็นนายก็ไม่สนุก เป็นผู้แพ้ก็ไม่สนุก เป็นผู้ชนะก็ไม่สนุก กระทั่งเป็นผู้ดี-ผู้ชั่ว กระทั่งผู้มีบุญ-มีบาป กระทั่งผู้สุข-ผู้ทุกข์ นี้ก็ล้วนแต่ไม่สนุก อย่างนี้ก็แปลว่า จิตนี้ไม่มีที่หวังที่ไหน ที่จะไปเอา-ไปเป็น พูดว่าสิ้นหวังก็ได้
คำนี้ใช้ได้เหมือนกัน ในการบรรลุพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่สิ้นหวังอย่างโลกๆ อย่างคนโง่ คนขี้เกียจ คนที่ไม่มีที่หวัง คนสิ้นหวัง อย่างนั้นมันอีกความหมายหนึ่งต่างหาก เดี๋ยวนี้ในที่นี้ มันเป็นความสิ้นหวังของคนที่มีปัญญาอย่างถูกต้อง มองออกว่าไม่มีอะไรที่ควรหวัง ไปเอา-ไปเป็น ที่นี่ก็ตาม ที่โลกอื่น ที่โลกไหนก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็นจริงๆ ทุกกาลเวลา ทุกสถานที่
ทีนี้จิตของเขาจะน้อมไปในทางไหน ขอให้ลองคิดดู จิตของเขาจะไม่น้อมไปในทางไหนได้เลย เพราะไม่มีอะไรที่น่าหวังที่ไหน เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นไปเพื่อสลายตัวมันเอง ไม่มีความอยากเอา อยากเป็นที่ไหน มันว่างไปในตัวมันเอง มันสลายไปในตัวมันเอง
ฉะนั้น อุบายที่จะเอาเปรียบธรรมชาติได้บ้างก็ตอนนี้ คือว่าเมื่อจะต้องดับจิตลงไปจริงๆ แล้ว ก็ให้ฟื้นความรู้สึกที่ว่า ไม่มีอะไรน่าเอา ไม่มีอะไรน่าเป็น ที่ไหนหมดทุกหนทุกแห่งนั้น ให้มาอยู่ที่จิตใจในเวลาที่จะดับจิตนั้น มันจะนิพพานไปได้ ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยง ให้ร่างกายกับจิตใจมันดับลงไปด้วยความรู้สึกว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอา-น่าเป็นที่ไหน แล้วจะบรรลุนิพพานได้ในตัวมันเอง ในตัวความตายทางร่างกายนั่นแหละ
นี่เรียกว่าเป็นการได้กำไรอย่างยิ่ง ลงทุนน้อยอย่างยิ่ง แล้วแน่นอนอย่างยิ่ง ให้นักธรรมชั้นมหาเปรียญ ชั้นเอก ชั้นสูงสุดที่ไหนมาพิสูจน์ดูที ว่ามันจะเป็นอย่างไร ถ้าเขาต้องดับจิตไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ว่าไม่มีอะไรที่น่าเอา-น่าเป็นที่ไหน อย่างนี้มันก็เป็นการสลายตัวชนิดที่สลายไปกับนิพพานธาตุ ไปเป็นนิพพานธาตุได้ในตัวมันเอง เป็นตาแก่ยายแก่ที่ไม่รู้หนังสือ พูดอะไรก็ไม่ได้ แต่มีความรู้สึกอย่างนี้ได้อย่างเดียวก็พอแล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อเราจะตายขึ้นมาจริงๆ ขอให้ความรู้สึกอย่างนี้มีอยู่ แล้วต้องรู้ว่าใกล้จะตายนั้น มันอาจจะค่อยๆเลือนไป ในการที่ร่างกายมันชำรุดลง มันจะต้องแตกดับนี้ ความรู้สึกมันจะค่อยๆ หมดไปๆ มันจะลืมนั่น-ลืมนี่ ลืมเข้ามาทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ว่าเดี๋ยวนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว กลางวันหรือกลางคืนก็ไม่รู้สึกได้ แม้ว่าตนกำลังอยู่ที่ไหน อยู่ในบ้านไหน-เรือนไหนก็ไม่รู้สึกได้ แม้แต่ว่าตัวเองชื่อไรก็ลืมไปแล้ว จะสวด อิติปิโส ภควา ก็ไม่ถูกแล้ว แต่ที่จะอยู่ได้เป็นคู่ชีวิตจิตใจไปด้วยกัน ก็คือว่า ความรู้ว่าไม่มีอะไรที่น่าเอา-น่าเป็น ดับไม่เหลือ สมัครดับไม่เหลือ เพราะฉะนั้น ความรู้สึกว่าสมัครดับไม่เหลือนี้ขอให้อยุ่คู่กันกับจิต จนถึงวาระสุดท้าย มันจะสลายตัวเป็นความว่าง หรือเป็นนิพพานไปได้ ด้วยอุบายอย่างนี้ ด้วยเคล็ดอย่างนี้ นี่เรียกว่าข้อปฏิบัติในขณะที่ร่างกายจะแตกทำลาย ที่เรียกว่าของผู้รู้น้อย ตาแก่ยายแก่ที่ไม่รู้หนังสือ ผู้รู้น้อยมีอุบายที่จะดับไปได้ ด้วยอาการอย่างนี้ และเราเรียกอุบายนี้ว่า “อุบายตกกระไดแล้วพลอยกระโจนให้เหมาะๆ”
ที่ว่าตกกระไดก็คือหมายความว่า ร่างกายมันต้องแตกแน่ มันแก่ชราแล้ว มันถึงที่สุดแล้ว มันต้องแตกแน่ เรียกว่า ตกกระไดลงมาแล้ว ทีนี้ก็พลอยกระโจนเลย กระโจนสู่ความดับไม่เหลือ เพราะทำความรู้สึกในใจอยู่ว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็นที่ไหน นี้เรียกว่า กระโจนอย่างถูกทาง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เจ็บปวดอะไรเลย กระโจนอย่างนี้ ไม่เจ็บไม่ปวด แต่เป็นผลดีที่สุด คือถึงความกับไม่เหลือได้ นี่เราเรียกว่ามันเก่ง มันตกกระไดเป็น ไม่เหมือนคนโง่บางคน ตกกระไดลงมาปากคอแตก แขนขาหัก อย่างนี้มันคือคนโง่
แม้เรียนมาก เที่ยวพูดจ้ออยู่ตามศาลาวัด อย่างนี้มันก็ยังตกกระไดปากแตก ขาหักอยู่นั่นเอง มันสู้คนที่สนใจอย่างถูกทาง แม้แต่เพียงเรื่องเดียวนี้ไม่ได้ มันเอาตัวรอดได้อย่างนี้
ทีนี้ถ้าสมมติว่า การตายที่เป็นอุบัติเหตุ เช่นถูกรถยนต์ทับบี้แบนไปกลางถนน หรือถูกตึกพังทับ หรือว่าชาวไร่ชาวนาเดินอยู่ วัวควายมันขวิดข้างหลังทีเดียวตาย หรือว่าถูกระเบิดปรมาณูลงมาอย่างนี้ จะทำอย่างไร?
ถ้าฉลาดสักหน่อยก็จะมองออก มองเห็นได้ด้วยตนเองว่า มันก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ ถ้าความรู้สึกมันเหลือนิดเดียว แวบเดียวว่า ดับไม่เหลือ สมัครดับไม่เหลือ ไม่มีอะไรที่น่าเอา-น่าเป็น เพราะได้ทำความรู้สึกดังกล่าวนั้นมาจนคล่องแคล่วชำนาญดีอยู่แล้วเป็นปกติ พอมาถึงขณะเช่นนี้ ก็รู้สึกได้เพียงแวบเดียวแล้วก็ดับไป
เช่นว่ารถยนต์ทับตาย อย่างนี้ไม่ใช่มันจะตายทันที จะไม่มีเวลาเหลือสักครึ่งวินาทีให้เรารู้สึก-ไม่ใช่ มันต้องมีเวลาเหลืออยู่แม้ครึ่งวินาที หรือแค่เศษหนึ่งส่วนสี่วินาที สักขณะจิตหนึ่ง พอรู้สึกแวบหนึ่งได้ว่า สมัครดับไม่เหลือ อย่างนี้ก็ทันถมเถไป
ทีนี้ถ้าสมมติเอาเป็นว่ามันวูบเดียว ไม่มีความรู้สึกเลย มันก็ดับไม่เหลืออยู่นั่นแหละ เพราะว่าเราเป็นอยู่ด้วยความรู้ที่ถูกต้องว่า ดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ ในยามปกติมาแล้ว ตามที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า เวลาปกตินั้นเราซ้อมความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ ไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น จนจิตน้อมไปสู่ความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ ทีนี้มันก็ดับไม่เหลือไปด้วยความรู้สึกอันนี้ แม้ว่าในขณะที่ถูกทำให้ร่างกายสลายแตกตายไปโดยไม่ให้โอกาสที่จะรู้สึกคิดนึกได้
ยิ่งถ้ามันให้โอกาส ที่จะรู้สึกคิดนึกได้สักขณะจิตหนึ่ง หรือว่าครึ่งวินาทีอย่างนี้ ก็คิดได้สบาย เพราะฉะนั้น อย่าได้ขลาดอย่าได้กลัว อย่าให้ความขลาดความกลัวแทรกเข้ามา เช่นขอให้ไปตามหมอมาที หามไปโรงพยาบาลที อย่างนี้แล้ว คือต้องตายตรงนั้นเอง ไม่มีประโยชน์อะไร และเรื่องอย่างนี้เขาถือกันว่าเป็นการตายโหง คือตายโดยไม่อยากจะตาย และตายโดยกะทันหันอย่างนี้ เขาบัญญัติคำเรียกกันว่าตายโหง
ธรรมะที่ประเสริฐนี่ มันป้องกันการตายโหงได้อย่างเด็ดขาด แต่ทำให้นิพพานได้ที่ตรงนั้นเอง ที่ข้างๆ ล้อรถ หรือ ใต้รถ หรือ ใต้ตึกทับ หรือว่ากลางทุ่งนา ตรงที่ควายขวิด หรือว่าในซากกองเถ้าถ่านของลูกระเบิด อย่างนี้เป็นต้น มันไม่มีการตายโหง แต่มีนิพพานแทน
ดังนั้น ควรซ้อมความเข้าใจที่ถูกต้องไว้อย่างนี้ สำหรับผู้ที่มีการศึกษาน้อย รู้น้อย กระทั่งเป็นตาแก่ยายแก่ที่ไม่รู้หนังสือ แต่ได้ฟังการพูดอย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้
ทีนี้ส่วน การตายของผู้ที่รู้โดยสมบูรณ์ มีสติปัญญาสมบูรณ์ ศึกษาเพียงพอ แตกฉานในปริยัติธรรม ปฏิปัตติธรรมนั้นไม่ต้องเป็นอย่างนี้ คือไม่ต้องมีอาการตกกระไดพลอยกระโจน เพราะว่า เขาเป็นผู้ไม่ตายเสียแล้วตั้งแต่ทีแรก ตั้งแต่ยังไม่เจ็บไม่ไข้ ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ด้วยซ้ำไป คือ บรรลุคุณธรรมขั้นสูงเสียตั้งแต่ก่อนโน้นแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการตาย
ทีนี้ถ้าว่าคนรู้มากมายอย่างนี้ พอถึงเวลาจะตายเข้าจริงๆ เขาก็ยังมีการเตรียมตัวดีกว่าพวกตกกระไดพลอยโจน เขารู้จักตั้งสติสัมปชัญญะ อย่างที่ว่าไม่มีความตาย หัวเราะเยาะความตายได้ อย่างนี้ก็นับว่าเป็นการที่ว่าเหมือน ลงกระโดดไปอย่างเรียบร้อย ไม่ใช่ตกกระไดแล้วพลอยกระโจนอย่างว่า นี่เป็นเรื่องของผู้รู้สมบูรณ์ แต่สำหรับผู้รู้น้อยนี้ ควรจะฉลาดในการที่จะตกกระไดพลอยกระโจน นี่คือการปฏิบัติเพื่อว่างในวินาทีสุดท้าย
ทีนี้ อยากจะพูดถึง การเตรียมตัวตายของผู้เจ็บป่วย กันบ้าง เมื่อรู้สึกว่าจะต้องตายแน่ สำหรับผู้มีความเจ็บไข้เห็นอยู่ชัดๆ เช่น เป็นวัณโรค หรือโรคอะไรก็ตามเถอะ ซึ่งมันจะต้องตายแน่แล้ว ก็ควรจะทำให้ดีที่สุดด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ต้องขลาด ไม่ต้องกลัว
อยากเล่าเรื่องที่เคยพบ เกี่ยวกับวิธีเตรียมตัวตายของคนครั้งพุทธกาลให้ฟังว่า สำหรับผู้ที่เขาถือศีลสมาทานวัตรกันอยู่เป็นประจำอย่างนี้ เป็นธรรมดา การอดข้าว ย่อมไม่มีปัญหาอะไร เพราะวันอุโบสถก็อดข้าวเย็นอยู่แล้ว ทีนี้พอโรคภัยไข้เจ็บมาถึง ซึ่งเขาเชื่อว่าไม่เกินสิบวัน จะต้องตายอย่างนี้ เขาเตรียมที่จะไม่กินอาหาร ไม่เหมือนกับพวกเรา ที่ว่าคนใกล้จะตายต้องให้ไปหาอาหารดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างแพงที่สุดมาให้กินๆ กินจนตายไปกับอาหารก็มี
ในการที่เขาพยายามหลีกอาหารนี้ เขาทำเพื่อจะมีจิตที่เป็นปกติที่สุด เพราะเมื่อร่างกายชำรุดอย่างนี้แล้ว มันไม่ย่อยอาหาร ขืนใส่เข้าไปมันก็เป็นพิษ มันก็วุ่นวายใจ มันกระสับกระส่าย เพราะฉะนั้น จึงต้องเตรียมตัดอาหาร กินแต่น้ำ หรือกินแต่ยา
ทีนี้ถ้าใกล้เข้าไปอีก แม้แต่น้ำก็ไม่อยากกิน ยาก็ไม่ยอมกิน เพื่อจะสำรวมสติสัมปชัญญะ ที่จะตายชนิดที่ดับไม่เหลือ
พวกที่ยึดมั่นถือมั่นในบุญกุศล ก็เตรียมยึดมั่นถือมั่นในบุญกุศล พวกที่ฉลาดขั้นสูงก็เตรียมที่จะปล่อยวาง ดับไม่เหลือดังกล่าวมานั้น เขาไม่ต้องการหมด ไม่ต้องการฉีดยา ประวิงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้อย่างนี้ ซึ่งเป็นการรบกวนอย่างยิ่ง การทำเช่นนี้เรียกว่า “ปลงสังขาร” ปลงสังขาร ยังไม่ทันตายนี่แหละ เขาเตรียมที่จะแตกตายทำลายร่างกายให้ดีที่สุด ในทางจิตก็น้อมไปเพื่อดับไม่เหลือ
ส่วนพวกเราสมัยนี้ มัวแต่โกลาหล ตามหมอมากันจนเต็มห้องก็มี ให้กินยา ให้กินอาหาร ฉีดยา ต่างๆ นานาทำให้พะงับพะง่อนหาความสงบไม่ได้ นี่แหละทำให้ไม่รู้ว่าจะตายอย่างไร ทำให้ไม่รู้ว่าจะตายหรือจะอยู่ อย่างนี้มันพะว้าพะวังกันไปหมด มันเลยไม่ได้ประสบชัยชนะเหนือความตาย หรือเข้าถึงความว่าง หรือความดับไม่เหลือ อย่างที่กล่าวมาแล้ว
การเตรียมตัวตายของคนครั้งพุทธกาล กับคนเดี๋ยวนี้มันต่างกัน อย่างว่าคนเดี๋ยวนี้ คงจะนึกหาเตียงที่สบายที่สุด หาห้องที่สบายที่สุด หาอาหาร หายา ที่แพงที่สุด มาไว้ แล้วก็ตายไปด้วยการกุลีกุจอ อยากจะรักษาชีวิต ถ่วงเอาไว้ให้ได้ต่อไป แม้นาทีหนึ่งก็ยังดี อย่างนี้ก็เลยระดมฉีดยาเป็นการใหญ่ ทำอะไรเป็นการใหญ่ แล้วมันก็ต้องตายอย่างไม่ “หลับตาตาย” คือว่าตายโดยไร้สติสัมปชัญญะ เรียกว่าทำกาลกิริยาด้วยความหลง
ถ้าทำถูกทาง มันก็ต้องกล้าด้วยธรรมะ และตายอย่างมีชัยชนะเหนือความตาย อย่างที่ว่ามานี้ จึงจะเรียกว่าเข้าถึงความว่างได้ในวินาทีสุดท้าย มีโอกาสกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย ขอให้จำคำนี้ไว้ให้ดีๆ ว่าโอกาสสำหรับพวกเรามีกระทั่งวินาทีสุดท้าย แต่ถ้าเราเอาชนะเดี๋ยวนี้ไม่ได้ เรื่อยไปในวินาทีสุดท้ายนั้นด้องชนะได้แน่ เพราะเหตุดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง
นี่คือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับความว่าง ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ขณะ ปฏิบัติใน ๓ โอกาส ขณะปกติ ทำการทำงานอยู่ตามปกตินี้อย่างหนึ่ง ขณะที่อารมณ์มากระทบ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะสู้มันอย่างไร ให้เป็นความว่างนั้นก็อย่างหนึ่ง แล้วขณะที่เบญจขันธ์จะแตกสลายไปตามธรรมชาตินี้จะทำอย่างไรก็อีกอย่างหนึ่ง รวมเป็น ๓ วิธีด้วยกัน
ควรจะเป็นสิ่งที่นำมาพูด นำมาคิด มาปรึกษาหารือกันอยู่เป็นประจำ เหมือนอย่างที่คุยเรื่องวิทยุ เรื่องโทรทัศน์ เรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องโลก นั้นพล่อยไปหมดทั้งวันทั้งคืน แล้วเรื่องสำคัญเห็นปานนี้ทำไมไม่ลองเอามาคุย มาปรึกษากันดูบ้าง พวกที่ชอบมวย ก็คุยกันแต่เรื่องการต่อสู้ จนเวลามีไม่พอ หายใจแทบไม่ทัน
ทีนี้เรื่องต่อสู้กับความตาย เอาชนะความตายให้ได้ ให้ว่างจากความเกิด จากความตายนี้ ทำไมไม่ลองคุยกันบ้าง มันจะเป็นของง่ายขึ้นมาทันที ถ้าว่าเราคุยกัน ปรึกษาหารือกันแต่ในเรื่องนี้ เหมือนกับที่เราคุยกันในเรื่องอื่นๆ ไม่เท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นของง่ายๆ เหมือนกับทำเล่นไปได้ ไม่ยากเลย เมื่อทำถูกวิธีแล้วไม่มียากเลย ง่ายไปหมด แม้แต่การบรรลุนิพพาน และการตกกระไดพลอยโจน อย่างที่กล่าวนี้
นี่แหละสรุปรวมความแล้ว เราจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องในเรื่องคำว่าว่าง เข้าถึงความว่าง เป็นอยู่ด้วยความว่าง ว่างอยู่เป็นปกติ แล้วเป็นความว่างเสียเอง ความว่างมีอยู่ที่สิ่งทั้งปวง เป็นลักษณะของสิ่งทั้งปวง ทำจิตใจให้ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง แล้วจิตก็จะเป็นความว่างเสียเอง เป็นความดับไม่เหลือแห่งตัวกู-ของกู ไม่มีการเกิดมาอีก ไม่มีความรู้สึกเป็นความเกิด เป็นตัวเรา-เป็นของเรา ขึ้นมาอีก นี่คือวิธีปฏิบัติเพื่อความว่าง
อาตมาขอยุติลงด้วยการหมดเวลาเพียงเท่านี้