คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถ้ารู้จักแต่การทำมาหากินเลี้ยงร่างกายกัน อย่างเดียว ไม่รู้จักแสวงหาธรรมะมาเลี้ยงจิตใจให้สะอาด สว่าง สงบ กันบ้างแล้ว, การเกิดก็จะเป็น การเกิดเพื่อมาทนทรมาน ติดคุกคะรางในทางวิญญาณชนิดหนึ่ง ไปจนตาย.
วัยเด็ก ก็มีความสนุกไปอย่างหนึ่ง, วัยหนุ่มสาว ก็มีความเพลิดเพลินไปอย่างหนึ่ง, วัยกลางคน ก็มีความพอใจไปอย่างหนึ่ง. วัยแก่เฒ่าชรา ก็ต้องมีความสงบเย็นไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางจะสับเปลี่ยนหรือเหมือนกันไค้ เพราะธรรมชาติบังคับไว้อย่างตายตัว. ทำอย่างไรคนเราจึงจะได้ความสุขไปทุกวัย หรืออย่างน้อยให้เอาตัวรอดให้ไค้ในวันสุดท้าย นี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดดูให้ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้ว จะไม่ได้รับ สิ่งที่ควรจะได้รับ และเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา.
การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เราเกิดมาเพื่อดับไฟกิเลส. มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผา. ถ้าเราเป็นฝ่ายเผากิเลส เราก็จะมีความสุขเย็น. แต่ถ้ากิเลสเป็นฝ่ายเผาเรา เราก็สุกไหม้ หรือถึงกับเกรียมไปในที่สุด.
ชีวิตของเรานี้เป็นยักษ์ที่โิหดร้ายอยู่ในตัวชีวิตนั้นเอง. มันจะถามเราว่าเกิดมาทำไม ? ถ้าเราตอบไม่ได้ มันจะกินเราจนตายจากความเป็นมนุษย์. ถ้าเราตอบผิด ๆ ถูก ๆ มันจะตบหน้าเรา และขี่คอเราไปจนไม่มีที่สิ้นสุด. แค่ถ้าเราตอบไค้เพราะรู้ว่าเกิดมาทำไมจริง ๆ แล้ว ยักษ์นั้นจะปักคอตัวเองตายต่อหน้าเรา ไม่มีอะไรมารบกวนเราให้มีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป.
พระธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราตอบปัญหาของยักษ์ได้, พระธรรมเท่านั้นที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้สดชื่น ชนิดที่เงินก็ช่วยทำให้ไม่ได้ ชื่อเสียงก็ช่วยทำให้ไม่ได้, มิตรสหายพวกพ้องบริวารก็ช่วยทำให้ไม่ได้. พระธรรมเท่านั้น จะช่วยให้คนทุกวัยทั้งวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยแก่เฒ่า มีความสุขสงบเย็น ตามวัยของตนๆ. พระธรรมจะช่วยดับไฟให้ทุกคราวที่เกิดขึ้นในการประกอบการงานทุกชนิด ในโลกนี้.
พระพุทธเจ้าเอง ก็ได้พึ่งพาอาศัยพระธรรม จึงสามารถคับไฟกิเลสและไฟทุกข์ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไค้. แม้ตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงเคารพใครหรืออะไรทั้งสิ้น แค่ยังทรงเคารพพระธรรมอย่างเคร่งครัด (ดังที่ได้ปรากฏอยู่ในสวดมนต์บทที่ ๑๐ หน้า ๒๙ แห่งหนังสือเล่มนี้) ฉะนั้น จะนับประสาอะไรกับพวกเราทั้งหลาย บรรดาที่กำลังทูนกงจักรไว้บนศีรษะเพราะสำคัญเห็นเป็นดอกบัว.
อาศัยเหตุดังกล่าวนี้ พวกเราจึงจัดทำหนังสือธรรมะนี้ ขึ้นแจกจ่ายเป็นธรรมทาน เพื่อให้พุทธบริษัท ศึกษาและปฏิบัติตน จนทุก ๆ คน มีน้ำสำหรับดับไฟและอาบรดจิตให้สดชื่นเยือกเย็น เป็นความสงบสุขชนิดที่ไม่อาจหามาได้จากทางอื่น นอกจากการพึ่งพาอาศัยบารมีของพระธรรมอย่างเดียว.
หนังสือคู่มืออุบาสกอุบาสิกาชุดนี้ จักมีเป็นเล่ม ๑ เล่ม ๒ คามลำคับไปตามที่ควรจะมี เพื่อเป็นหนังสืออำนวยความสะดวกแก่บรรคาอุบาสกอุบาสิกาที่ประสงค์จะศึกษาและปฏิบัติ เพื่อแสวงสุขตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา. จัดพิมพ์แจกจ่ายในฐานะเป็นการกระตือรือร้น ช่วยกันส่งเสริมพระพุทธศาสนา ในยุคที่สมมติกันว่าเป็น "กึ่งพุทธกาล" จนกว่าจะเพียงพอแก่ความสุขสวัสดีของพุทธบริษัทสืบไป.
หวังว่า หนังสือเล่มนี้ จักเป็นการบรรเทาความขาดแคลนหนังสือที่จะใช้เป็น คู่มืออุบาสกอุบาสิกาได้ ไม่มากก็น้อย.
ธรรมทานมูลนิธิ
สำนักงาน ธรรมทานมูลนิธิ
ไชยา, ๕ กันยายน ๒๔๙๗
(๑) ใช้เป็นหนังสือแบบเรียนของผู้ใหญ่
ใช้ช่วยกันสอนด้วยปาก จนจำข้อความในบาลีนั้นได้สักบทหนึ่ง หรือสองบทก่อน แล้วจึงค่อยให้ผู้ที่จำได้แล้วนั้น ศึกษาแยกคำ แยกตัวอักษร เป็นคำๆ หรือเป็นตัว ๆ ไป จนจำตัวหนังสือ หรือคำทั้ง ๆ คำ อย่างเรียนหนังสือจีนได้ตลอดบทนั้น ๆ แล้วจึงเรียนบทอื่น ๆ ทำนองนั้น ไปจนตลอดเล่ม.
ยกตัวอย่างเช่น สอนให้จำ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ได้, หรือจำพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ได้ปากเปล่าเสียก่อน, แล้วให้แยกคำว่า นะโม ออกให้ดู เป็นตัว น, เป็นสระ ะ, เป็นสระ โ , เป็น ตัว ม, เป็นต้น, จนจำได้ เข้าใจ และอ่านเองได้, แล้วให้หัดเอาสระ อะ หรือสระ โอ นั้น ไปใส่ เข้าที่ตัวอื่น จนอ่านออกได้เอง ด้วยการเทียบเคียง. วันพระหนึ่งเรียนเพียงบรรทัดเดียวไปก่อน, แล้วค่อยขยายเป็นสอง สาม สี่ บรรทัดตามลำดับไป, โดยวิธีนี้ ได้เคยทดลองจัดให้สอนคนแก่อายุ ๕๐ ปีเศษเป็นผู้หญิงชาวนาไม่เคยเรียนหนังสือ ให้รู้หนังสือ จนอ่านหนังสือเล่มนี้ ได้ด้วยตนเองมาแล้ว.
ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องเป็นคนมีศรัทธาอยากเรียนรู้พระพุทธวจนะจริงๆ เป็นกำลังใจอันสำคัญ, และมีความมานะพยายามตามสมควร.
(๒) ใช้ศึกษาในฐานะเป็นหนังสือไหว้พระสวดมนต์
ในความมุ่งหมายข้อนี้ ใช้เป็นหนังสืออ่านท่องจำสำหรับอุบาสกอุบาสิกา หรือแม้ที่สุดแต่เจ้านาคจะบวชพระและบวชเณร, จะท่องแค่คำบาลีก็ไค้ โดยเลือกดูแต่ทางที่เป็นคำบาลี, จะเรียนคำแปลทีหลังก็ไค้. แค่สำหรับอุบาสกอุบาสิกาสูงอายุแล้ว ต้องเรียนพร้อมกันไป สะดวกกว่า เพราะบางบท ก็มักจะจำได้กันอยู่แล้ว, ถ้ายังไม่รู้หนังสือ ก็เรียนในฐานะเป็นหนังสือไทย ไปในตัว, คนแก่ๆ จะต้องวานเด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลานให้สอนไปก่อน ด้วยความอดกลั้นอดทนและรักที่จะรู้พระพุทธศาสนา. เมื่อเขาว่ากัน ในตอนแรก ๆ ตนจะต้องว่าตามอยู่แต่ในใจ อย่าหาญว่าออกมาดัง ๆ ด้วยความโอ้อวด จะทำให้ผิดติดปากโดยไม่รู้ตัว แล้วแก้ยากไปจนตาย. เมื่อรู้สึกว่าตนว่าถูกต้องดีเหมือนเขาแล้ว จึงค่อยว่าดัง ๆ เฉพาะบทที่จำได้ดีแล้วนั้น. ในวันอุโบสถที่นอนค้างที่วัด มักมีการซ้อมกันหลาย ๆ ครั้ง ทุก ๆ วัน.
(๓) ใช้ศึกษาในฐานะเป็นหนังสือธรรมะ
ในความมุ่งหมายข้อนี้ หมายถึงเมื่อจำได้พอสมควรแล้ว ศึกษาเพื่อให้เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของคำนั้น ๆ หรือหลักธรรมะข้อนั้น. เช่นได้ฟังคำว่า พระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลส และเพลิงทุกข์สิ้นเชิง (ที่หน้า ๑ ของคำบูชาพระรัตนตรัย). ตนจะต้องไต่ถามท่านผู้รู้ หรือฟังท่านผู้รู้อธิบาย ว่าเพลิงกิเลสนั้น คืออะไร, เพลิงทุกข์นั้นคืออะไร, และดับสิ้นเชิง นั้นดับอย่างไร. ตามธรรมดา ตัวเองถูกเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์ เผาอยู่ทั้งวันทั้ง คืน ก็หารู้สึกหรือรู้จักไม่. หรือว่า เมื่อสวดในบทว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณดุจห้วงมหรรณพ, (ที่หน้า ๖) ตนอาจไม่รู้แม้แต่ว่า มหรรณพ นั้นคืออะไร, จะต้องไต่ถามเขาจนทราบว่า มหรรณพ นั้น คือ มหาสมุทร. แม้เมื่อทราบว่ามีพระคุณดุจมหาสมุทร ก็ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง ว่ามันเหมือนกับมหาสมุทรอย่างไร, จะต้องไต่ถามต่อไปจนได้ความว่า มีพระกรุณาแก่สัตว์กว้างและลึก อย่างไม่มีขอบขีด และมากเหลือที่จะคณนาดั่งน้ำในมหาสมุทร เป็นต้น; แล้วยังต้องเห็นจริงอีกว่า เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร.
หรือเมื่อศึกษาจบทั้งบท เช่นบท เขมาเขมสรณทีปิกคาถา ก็ต้องศึกษาจน เห็นชัดว่า ตนกำลังถือที่ พึ่งที่ไม่เกษมอยู่อย่างไร ; ไม่จำเป็นต้องตรงตามตัวอักษรใน เรื่องนั้นเสมอไป, เช่นตนกำลังเชื่อคุณตะกรุดหรือเครื่องรางบางอย่างอยู่. ก็มีค่าเท่ากับถือต้นไม้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนกัน. ตลอดถึงมีความรู้เรื่อง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และอริยสัจสี่ อย่างละเอียดทั่วถึงยิ่งขึ้นไปจริง ๆ.
หวังว่า ท่านผู้ได้ใช้หนังสือนี้ จะสามารถถือเอาประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือครบทั้ง ๓ อย่าง จากหนังสือเล่มนี้ ได้ตามกำลังสติปัญญาของตนกัน ทุกๆคน.
พระอริยนันทมุนี
ในนามผู้อำนวยการคณะธรรมทาน
๑ ก.ย. ๒๔๙๗