Category Archives: จิตวิทยา

เอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจโลก ช่วยเหลือชาวโลก

จิตวิทยา ตลาด ตะลี

มาร่วมกันสร้างค่านิยมที่ดีๆ จะดีไหม

Number of View: 5125

คนเราเกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กจะถูกผู้คนตีตราว่าเราเป็นคนอย่างโน้นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก
ถ้าตีตราในทางที่ไม่ดี เช่น บางคนชอบว่าเด็กว่า ขี้เกียจ สันหลังยาว ไม่เอาถ่าน
ไม่ฉลาด เป็นต้น

ถ้าการตีตราในทางที่ดี เช่น เป็นเด็กกตัญญู ขยัน อดทน มีมารยาท มีสัมมาคารวะ
เรียนเก่งเป็นต้น

ในทางจิตวิทยาแล้วตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ขึ้นมาเด็กก็จะทำตัวตามที่มีคนตีตรา
หรือฝังชิบในสมองให้ตั้งแต่เด็กว่าเขาเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนที่ถูกตีตราให้เป็น
แล้วก็เป็นคนอย่างนั้นจริง

การปลูกฝังค่านิยมของคนในประเทศก็เช่นกัน ล้วนเกิดจากการตีตราของคนนอกประเทศ
และตีตราหรือฝังชิบไปใสสองของคนในประเทศด้วยคนในประเทศเอง

read more »

จิตวิทยา ตลาด ตะลี ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี

สิ่งที่ e-Book ให้เราไม่ได้

Number of View: 3636

กระแสอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีไร้สายทั้งมือถือและแท็บเล็ตถั่งโถมเข้ามายังประเทศไทยอย่างรุนแรง และคนไทยก็รับเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ในด้านของผู้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ต่างรู้ตัวและเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอนาคตของตัวเองบ้างแล้วจากการที่ได้เห็นความเป็นไปของสื่อสิ่งพิมพ์ของต่างประเทศที่ล้มหายตายจาก และล้มลุกคลุกคลานอยู่ก็มี

สื่อสิ่งพิมพ์หลายค่ายได้ทำการปรับตัวด้วยการหันมาผลิตสื่ออิเล็กทรอนิกส์เช่นอีบุ๊คในรูปแบบต่างๆ โดยการแปลงร่างสื่อแบบเดิมที่เป็นกระดาษให้เป็นอีบุ๊ค

หลายค่ายได้เพิ่มทางเลือกในการบริโภคสื่อด้วยการทำเนื้อหาแบบออนไลน์ ซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและกำลังจะประสบความสำเร็จ แต่หลายค่ายก็ดูเหมือนจะทรงๆ ทรุดๆ

ในส่วนของภาครัฐนั้นด้านการศึกษาก็ให้ความสำคัญกับการมาของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยการแจกแท็บเล็ตกับเด็ก ป.1 แต่เหมือนจะได้รับคำ แนะนำติติงมากกว่าคำชม อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาหรือแบบเรียนนั้นยังไม่พร้อม

ด้านประชาชนคนทั่วไปก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้วว่าเสพสื่อกันแบบใด ก็เห็นๆ กันอยู่ทั้ง ดูวิดีโอออนไลน์ อ่านข่าว อ่านนิตยสารออนไลน์ ดูทีวีออนไลน์ ฟังเพลงออนไลน์

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนเสพสื่อในสังคมปัจจุบันเปลี่ยนไปมากก็จริง แต่ก็มีสื่อหนึ่งที่ดูแล้วเหมือนว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมาทดแทนความรู้สึกให้กับคนบริโภคได้ไม่หมด นั้นก็คือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊ค

เราเปิดอ่านหนังสือผ่านไอแพดหรือแท็บเล็ตได้จริง แต่หลายอย่างก็ขาดหายไปไม่เหมือนกับอ่านแบบกระดาษ เช่น ต้องระมัดระวังในการถือ ต้องชาร์ทไฟ การเปิดหน้าอยากเปิดทีละหลายๆ หน้าอย่างที่ใจเราต้องการก็ไม่ได้ เมื่ออยากหยิบอยากจับออกมาอ่านเหมือนอยู่ในตู้หนังสือก็ไม่ได้ และก็ไม่รวดเร็ว

และที่สำคัญเกิดวันใดไอแพดหรือแท็บเล็ตพัง หรือผู้ให้บริการ Cloud Storage ไม่ว่าจะเป็น Dropbox หรือ Google Drive หรืออื่นๆ หยุดให้บริการ เมื่อถึงวันนั้นเราก็คงไม่มีหนังสืออ่านกันซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอย่างร้ายแรง

ถ้าถึงวันนั้นจริง ไม่รู้ว่าเราจะยังมีสื่อสิ่งพิมพ์ที่เป็นกระดาษให้ซื้อกันอยู่หรือเปล่า หรือแม้แต่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ก็ตามเถอะ

จิตวิทยา มือก่ายหน้า ขาไขว่ห้าง

อนิจจัง

Number of View: 7181

ความเปลี่ยนแปลงหรือความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรา
ตั้งแต่เกิดมาจนตายต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงสารพัดเรื่องราว

การเปลี่ยนแปลงถือว่าเป็นเสมือนโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งที่คร่าชีวิตผู้คนในโลกเรา
ไม่แพ้โรคเอดส์ หรือโรคมะเร็ง เพียงแค่ว่าเราไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลง
หรือยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้

เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นสิ่งที่ตามมาสำหรับจิตใจของมนุษย์เรามีทั้งดีใจ
และเสียใจ แต่ส่วนมากมักจะเป็นความทุกข์หรือความเสียงใจซะมากกว่า

และสุดท้ายต้องจบชีวิตตัวเองลงเพียงเพราะยอมรับการเปลี่ยนแปลงหรือ
อยู่กับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้

เหมือนมนุษย์ถูกสาปให้ผู้ที่แพ้หรือปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
หรืออะไรต่างๆ รอบตัวไม่ได้ต้องจบชีวิตลง

เหมือนกับการสูญพันธ์ของสัตว์หลายชนิดเช่นไดโนเสาร์

แต่ก็ยังมีกลุ่มที่พยายามจะหาทางช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ให้สามารถอยู่กับการเปลี่ยนแปลงให้ได้เช่น พระพุทธเจ้า

บอกกับมนุษย์ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ หรือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าเอามาใส่ใจปล่อยให้มันผ่านไป

ยังมีมนุษย์อีกหลายคนที่ไม่สามารถเข้าถึงคำแนะนำ
ให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้กับการเปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากจากคนที่รัก การที่คนรักเปลี่ยนไปรักคนอื่น
การเปลี่ยนแปลงที่อยู่ การสูญเสียศักดิ์ศรี การสูญเสียอำนาจ
การสูญเสียเงินทอง การสูญเสียสิ่งที่รัก

ลองมองดูว่ามีคนเหล่านี้อยู่ใกล้ตัวคุณหรือไม่ ถ้ามีอย่าลืมให้คำแนะนำดีๆ กับเขา
ในการอยู่บนโลกที่มีความไม่แน่นอนนี้ให้ได้อย่างไร

จิตวิทยา ตลาด ตะลี

การตลาดชั้นสูง แบบประหยัดๆ

Number of View: 4620

ช่วงนี้ต้องถือว่าเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่คนไทยทุกคนต้องจดจำ
บ้างคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องการเมือง แต่อย่าลืมว่าการเมืองนี่แหละที่สามารถ
ทำให้ประเทศเราก้าวหน้าหรือเสื่อมลงได้

ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่หนักๆเท่าไหร่ เพราะหลายสื่อ ทั้งสื่อออนไลน์ สื่อหนังสือพิมพ์
สื่อวิทยุ ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้กันมากแล้ว ก็ออกข่าว วิเคราะห์ข่าวในมุมมองของแต่ละคน

ช่วงเวลานี้ (03-02-49) หลายคนที่นั่งรถไปตามสถานที่ต่างๆในเมืองหลวงของประเทศไทย
จะปรากฎให้เห็นว่ามีแผ่นผ้า แผ่นกระดาษ ที่พยายามจะสื่อให้เห็นว่า เป็นการกระทำของ
ประชาชนคนธรรมดา เพราะวัสดุ และลายมือที่มาเขียนแผ่นป้ายนั้น ทำแบบง่ายๆ และถ้อย
คำที่เขียนลงไปนั้น ก็พยายามจะสื่อให้เห็นว่า เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากประชาชนคนธรรมดา

โดยเนื้อหาของคำก็มีหลายคำ แ่ต่ทั้งหมดล้วนเป็นการกล่าวโจมตี การกระทำของฝ่ายที่กำลัง
ขับไล่นายก

ถ้าไม่คิดอะไรมาก หรือคนที่อยู่ในพื้นที่ๆมีป้ายเหล่านี้ไปติดอยู่ แล้วไม่ได้เดินทางไปไหนมาไหน
อาจจะคิดว่า ป้ายเหล่านี้ถูกเขียนมาโดยคนในพื้นที่ของตนเอง แล้วก็คงคิดว่าเป็นความรู้สึกโดยรวม
ของคนในชุมชนที่มีสนับสนุนนายก และคัดค้านการประท้วงการต่อต้านนายก

แต่ในความเป็นจริงแล้ว คงมีความเป็นไปไม่ได้ที่คนในพื้นที่ต่างๆทั่วทุกอนูของกรุงเทพฯ จะอังเอิญ
มีความรู้สึกเดียวกัน แล้วไปซื้อแผ่นป้ายผ้า ป้ายพลาสติก แล้วใช้หมึก และลายมือเดียวกันเขียนแล้วนำ
ไปติดในชุมชนของตัวเอง พร้อมกันในคืนเดียว พรึบทั่วกรุงเทพ และข้อความซ้ำๆกัน ไม่กี่คำ

ถ้าไม่ใช่การกระทำที่เป็นขบวนการ หรือกลุ่มคนที่มีกำลังทรัพย์จ้างคนทำ จ้างคนเขียน และจ้างคนไปติด
คงเป็นไปไม่ได้

นี่เรียกว่าเป็นการตลาดนอกรูปแบบ ที่ถ้าคนไม่ชำนาญ และไ่ม่รู้เรื่องจิตวิทยามวลชน จะไม่สามารถคิดทำได้ง่ายๆ

ถ้าคนกรุงเทพ จะเคยสังเกตุว่า ในบางพื้นที่ของตึกอาคารพาณิชย์ หรือพื้นที่รกร้าง ว่างเปล่า ที่อยู่ในกรุงเทพ
จะเห็นการทำการตลาดโดยการติดแผ่นป้ายโฆษณา ที่ไม่ต้องเสียค่าติด แบบนี้อยู่ตลอดเวลา

โดยบางครั้งก็เป็นแผ่นผ้า ที่ติดพรึบ ทั่วกรุงเทพเพียงคืนเดียว บางที่ก็เป็นแผ่นกระดาษเล็กๆแล้วติดเรียงกันเยอะๆ
เพื่อให้เกิดความน่าสนใจให้คนหันไปมอง แม้จะสามารถโชว์ได้เพียงวันเดียว หรือสัปดาห์เดียว แล้วเจ้าหน้าที่
ทำความสะอาดก็มาฉีกทิ้ง ก็ถือว่าคุ้ม เพราะคนสามารถจดจำ และรับรู้ได้ เพราะสามารถเห็นซ้ำๆได้ ไปไหน ก็เห็น
ก็จดจำการตลาดนั้นๆได้ นี่เป็นตลาดเพื่อสินค้าในธุรกิจจริงๆ

แต่การตลาดที่ติดแผ่นป้ายโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการเมือง เพื่อสนับสนุนนายก ยังใช้จิตวิทยาชั้นสูง และลึกล้ำกว่านั้น เพราะคำแต่ละคำที่เขียนออกมานั้น ใช้หลักการตลาดที่เรียกว่า ถ้าเราได้อ่านแล้ว เราจะรู้สึกว่าเป็นส่วนนึง
ของสิ้นค้านั้นๆ ซึ่งก็คือ จะทำให้เรารู้สึกว่า ป้ายที่เอามาติดนั้น เป็นเหมือนความรู้สึกของเราเอง ซึ่งเป็นหลักการตลาดที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกใช้กัน เช่น i’m loven’ it ของ McDonald’s

แถมการติดป้ายโฆษณาแบบนี้ก็ไม่ได้ต้องเสียภาษี และ ไม่ต้องโดนปลดโดยพนักงานเทศกิจของกรุงเทพฯ

หลักการตลาดแบบติดแผ่นป้ายโฆษณาทั่วกรุงเทพเพื่อสะกิดต้อมความรู้ของประชาชน เพื่อหวังผลทาง
จิตวิทยานั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในขณะนี้ หลักการนี้เคยใช้มาแล้วครั้งนึง สมัยที่นายกทักษิณเพิ่ง
ก้าวลงมาเล่นการเมืองครั้งที่2โดยเป็นรองนายกรัฐมนตรี และอาสาแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ
และได้ทำการปูพรม ป้ายโฆษณาที่มีคำต่างๆ กันไป เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้คนในกรุงเทพฯมีจิตสำนึก
ในเรื่องการเคารพในกฎจราจร และ การให้มีน้ำใจในท้องถนน ทุกพื้นที่ของกรุงเทพอย่างถี่ยิบ จน
สามารถเรียกได้ว่า รถเลยก็ว่าได้ จะมีคำต่างๆ ในป้ายเช่น “จรเข้ ขวางคลอง” สำหรับพวกที่ชอบ ขับรถไปต่อ
คันอื่นตามสี่แยกที่รถยังติด ทำให้รถเลนอื่น ไม่สามารถไปได้ หรือคำว่า “ลูกใครหว่า” พร้อมมีภาพประกอบเป็นเด็กข้ามเหล็กกั้นกลางถนน เป็นป้ายที่ไปติดตามกลางถนน เพื่อให้คนที่ไม่ชอบข้ามสะพานลอยได้ละอายใจ

นอกจากนี้ยังมีป้ายที่มีภาพประกอบพร้อมคำในแผ่นป้ายอีกหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละคำ จะเป็นคำที่คัดสรรมาอย่างดี
ว่าจะมีผลทางจิตวิทยากับคนที่อ่านได้เจอ ว่าจะต้องเลิกนิสัยเกี่ยวกับการจราจรที่ไม่ดีเหล่านี้เสีย

ซึ่งจากการสรุปของผู้รู้หลายคนในช่วงนั้นว่า การทำเช่นนั้นช่วยปัญหาการจราจรให้กรุงเทพได้ไหม หลายคน
ก็ตอบว่าไม่ได้ แต่การทำป้ายออกมา สามารถส่งผลทางจิตวิทยา ให้คนปฏิบัติตามกฎจราจรได้พอสมควร

และก็อีกเช่นกัน การที่มีการทำการตลาดแบบแผ่นป้ายในแนวเดิมๆ ของคนเดิม ซึ่งคราวนี้ออกมาเพื่อดึงมวล
ชนที่ต่อต้านตัวเอง ให้กลับใจมาเขากับพวกตัวเอง และให้รู้สึกว่า พวกที่ขับไล่ตัวเอง เป็นพวกที่ผิดนั้น
ไม่รู้จะบรรลุเป้าหมายแค่ไหน เพราะคนระดับกลาง และระดับบนของกรุงเทพ เขารู้กันหมดแล้วว่า ใครเป็นคน
เขียนป้าย

ก็ได้แต่หวังว่า การตลาดแบบนี้มาพร้อมกับการเข้ามาเล่นการเมืองของนายก แล้วนายกก็คงไม่ได้ลาจากจาก
การเมืองด้วยการตลาดแบบเดิมๆ ของตัวเองเช่นกัน

จิตวิทยา

เคล็ดลับ เพื่อจะไม่ได้เป็น คนบ้า หรือ เสียสติ

Number of View: 2662

ไม่บ้าศักดิ์ศรี
ไม่หนีความจริง
ไม่ทิ้งความหวัง
ไม่ฝังใจโกรธ
ไม่โทษตัวเอง
ไม่เกรงมอบไมตรีก่อน
ไม่บั่นทอนกำลังใจ
ไม่หวั่นไหวง่าย
ไม่ทำลายสุขภาพ

จิตวิทยา

10 ความลับที่ไม่ควรจะพูด (เป็นอย่างยิ่ง)

Number of View: 2897

1. เรื่อง รักๆ ใคร่ๆ ในอดีต
2. ความรู้สึก หวาบหวิว ซู่ซ่า กับคู่รักของตัวเอง
3. รายได้ ทรัพย์สิน มรดก
4. โรคร้าย ไข้เจ็บ ประจำตัว
5. ความลับ ของเพื่อน หรือว่าคนรัก
6. จุดอ่อนของตนเอง
7. ความผิดพลาด ชั่วร้าย ของตัวเองในอดีต
8. ความลับของสมาชิกในครอบครัว
9. ความลับของคนอื่นที่ตนเองแอบไปรู้
10. ความต้องการส่วนตัวของตัวเอง