ห้วยสีดอกับพ่อข้า

Number of View: 2169

ความทรงจำในวัยเด็กของผมตอนนั้นอายุประมาณ 5 – 6 ขวบ
จะชอบไปไหนมาไหนกับพ่อมาก เท่าที่จำความได้ แล้วก็
จำความได้แม่นมากๆเลย ก็คือประสบการณ์ในการไป
หว่านแหกับพ่อ

ที่หมู่บ้านจะมีห้วยหรือแม่น้ำสายเล็กๆ หรือลำคลอง ที่จะมี
น้ำเฉพาะช่วงหน้าฝน เพราะมีลักษณะตื้นเขินมาก แต่ได้ยิน
จากปากผู้เฒ่าผู้แก่ประจำหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนี้
ห้วยซึ่งมีชื่อว่าห้วยสีดอนี้มีความลึกมาก ลึกจนท่วมช่วงตัว
คนที่ยืนมือขึ้นมาก็ยังท่วม

คาดว่าคงจะเป็นความจริงเพราะเมื่อก่อนคงจะมีป่าที่อุดมสมบูรณ์
ทำให้มีน้ำเก็บตามลำต้นและใบไม้เมื่อฝนตกลงมา น้ำก็ไม่ไหล
ลงห้วยเลย แต่จะเก็บไว้ตามต้นไม้ใบไม้รากไม้ รวมทั้งในดิน
ที่มีต้นไม้อยู่เยอะแยะ แล้วก็ค่อยๆไหลซึมลงห้วยที่ละเล็กละน้อย
ทำให้ห้วยมีน้ำไหลตลอดทั้งปี และทำให้ห้วยไม่ตื้นเขิน

แต่ที่ผ่านมาในช่วงที่ผมเด็กๆห้วยก็ได้ตื้นเขินไปแล้ว
เพราะป่าไม้ได้ถูกทำลายไปไม่เหลือล่องลอยของความเป็น
ป่าไปแล้ว แถมห้วยนั้น ก็มีการกั้นเป็นฝ้ายเป็นช่วงๆเพื่อกักเก็บน้ำไว้
ใช้ตามแต่ห้วยนั้นตกอยู่บริเวณที่นาของใคร

ทำให้น้ำในลำห้วยไหลไม่สะดวกแล้วก็ตื้นเขินในที่สุด

แล้วในช่วงหลังๆทางรัฐบาลก็ให้เงินช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟู
และขุดลอกลำห้วยให้พอสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง
โดยเฉพาะ อย่างน้อยให้มีน้ำสำหรับ วัว ควาย ได้กินก็ยังดี

หรือในบางปีที่แล้งมากๆ จนน้ำดื่มของชาวบ้านหมดก็ยังพอ
ช่วยให้มีน้ำซับ หรือ น้ำซึมได้ดื่ม ได้กิน บริเวณก้นห้วย
ที่ขุดให้ลึกเป็นพิเศษโดยฝีมือคน เป็นบ่อเล็กๆ

ช่วงที่พ่อพาไปหว่านแหนั้นเป็นช่วงหน้านา หรือไม่ก็หลังจาก
เก็บเกี่ยวได้ไม่นาน

พ่อนั้นถึงแม้จะเป็นครูแต่ก็ยังทำนา แถมยังอยู่อย่างประหยัดด้วย
คือเมื่อก่อนนี้โดยเฉพาะในหน้านานั้นที่บ้านแทบไม่ต้องใช้เงิน
ซื้ออาหารการกินเลย เพราะพ่อจะมีเครื่องมือดักจับปลาต่างๆ
มากมาย ซึ่งจะไปวางไว้ช่วงหัวค่ำของทุกวัน พอเช้ามาก็ไปเก็บกู้
ได้ปลา ได้สัตว์น้ำต่างๆมาทุกวัน

ผมจะจำภาพที่ทุกเช้าผมจะวิ่งไปรับอะไรต่างๆ จากพ่อมา
ก่อนที่พ่อจะถึงบ้านประมาณ 10-20 เมตร ทั้งผักทั้งปลา
จะวิ่งไปรับอยู่อย่างนี้เกือบทุกเช้า

แม่ก็จะนำปลามาทำอาหาร รวมทั้งมาทำปลาร้าเพื่อไว้กินให้ได้ทั้งปีด้วย

พอหมดน้ำปลาก็เริ่มจะไม่ค่อยมีให้หาแล้ว ก็พอมีในบ่อท้ายนา
ซึ่งพ่อก็จะไปหาหรือไปจับมาในบางโอกาส แล้วก็ในห้วยประจำหมู่บ้านเนี่ยแหละ

เนื่องจากว่าปลาที่อยู่ในห้วยนั้นก็คงไม่ได้มีปริมาณมากอะไรเพราะ
คนอื่นๆก็มาจับมาหาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพ่อก็เลยมีกรรมวิธี
ในการจะหว่านแห่ให้ได้ปลาโดยใช้เหยื่อเพื่อล่อให้ปลามากินเป็นจุดๆ
โดยการนำรำข้าวมาคลุกกับดินเหนี่ยวแล้วก็ทำเป็นก้อนกลมๆ
แล้วก็เดินโยนลงไปในห้วยเป็นจุดๆ พร้อมกับทำเครื่องหมายไว้
เพื่อกลับมาหว่านหลังจากแน่ใจว่ามีปลามากินเหยื่อแล้ว

มีอยู่ครั้งนึงที่พ่อต้องไปโยนเหยื่อล่อปลาแล้วก็ให้ผมยืนรออยู่จุด
เริ่มต้น เพราะท่านไม่อยากให้ผมเดินเหนื่อย ผมก็ใจกล้า
ว่าอยู่รอได้ ผมลืมเล่าให้ฟังว่า ลำห้วยอยู่ห่างจากหมู่บ้าน
พอสมควร ประมาณสัก 2-3 กิโลเห็นจะได้ พอก็เดินโยน
เหยื่อไปเรื่อยๆ จนลับตาผมไป ช่วงเวลานั้นมันช่างแสนทรมาน
เหลือเกิน มันเหมือนกับว่าผมอยู่ในโลกนี้คนเดียว พ่อยิ่งไป
ยิ่งเหมือนมันนานขึ้นเรื่อยๆ ใจก็คิดไปว่า พ่อมาปล่อยเรา
ทิ้งหรือเปล่า พ่อจะกลับมาหรือเปล่า ถ้าพ่อไม่กลับมาเราจะ
ทำอย่างไร คงเป็นอาการหวาดกลัวกับการอยู่คนเดียว
ครั้งแรกในการมีชีวิตของผมเลยทีเดียว จะร้องไห้
ก็ไม่กล้าร้อง แต่ในใจก็ยังมีหวังว่าต้องรอๆ พ่อต้องมาๆ
จนในที่สุดพ่อก็กลับมา ช่วงเวลานั้นมันเป็นเป็นเวลาที่ผม
ดีใจจนสุดจะบรรยาย แล้วมันคงเป็นการสอนให้ผมไม่กลัว
การอยู่คนเดียว รวมทั้งไม่กลัวผี และไม่เชื่อเรื่องผีมาจนทุกวันนี้

แล้วพ่อก็เริ่มหว่านแห่ลงไปตามลูกเหยื่อที่โยนลงไปในแต่ละที่ไว้
พอจับปลาได้พ่อก็โยนปลามาให้ผมเก็บ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนครบ
ทุกลูกเหยื่อที่พ่อได้โยนลงไปในลำห้วย

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Time limit is exhausted. Please reload CAPTCHA.