เมื่อวานได้เจอกับเรื่องที่เซอร์ไพรส์ที่สุดมากในชีวิตก็เกือบจะว่าได้
เรื่องที่ว่าก็คือ
เมื่อช่วงเย็นวันสุดท้ายของการทำงานแถมเป็นวันหลังวันเงินเดือนออก
เพียงวันเดียวเสียด้วย ก็เลยได้มีโอกาสไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานทั้งรุ่นน้องรุ่นเพื่อน
แล้วก็รุ่นพี่
งานสังสรรค์หลังวันเงินเดือนออกก็เป็นไปด้วยดีและบรรยากาศเป็นกันเองมาก
เพราะเราไปกินกันร้านก็ไม่ได้หรู่อะไร
แต่ก็ถือว่าเป็นร้านที่พวกเราเลือกกันพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้ก็ลองมาหลายร้าน
เคยมีร้านที่ถูกใจเพราะอาหารอร่อย ราคาไม่แพง แต่ช่วงหลังกาลกลับเป็นว่า
เจ้าของร้านเห็นเราไปกินบ่อยก็เลยขึ้นราคาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
แถมบริการก็ไม่ค่อยได้เรื่องถูกใจโก๋ชาวเราเท่าไหร่ ชาวเราก็เลยต้องทิ้งถิ่นฐานหากิน
มายังร้านนี้ โดยไม่บอกกล่าวร้านเดิมเช่นกัน (เราทำกับเขาได้แสบไหม?)
หลังจากเหล้าหมดไปกลมนึง
ชาวเราก็ยังไม่เมา มุขเฮมุขฮายังออกมาจากแต่ละคนอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะจากโปรแกรมเมอร์ขาเมาและขาเมาท์ของเรา
ไอ้ผมก็มีมุขกับเขาเหมือนกัน พูดแล้วก็ภูมิใจตัวเองเหมือนกันที่พูดมุขแล้วทำให้
คนอื่นหัวเราะได้เหมือนกัน ถึงแม้สิ่งที่เขาขำนั้นจะมาจากการที่ผมพูดเรื่องตลกแต่คนอื่นไม่ตลกด้วย
แต่เขากลับตลกตัวผม เพราะเป็นคนที่พูดช้ามาก เรื่องตลกก็เลยไม่ทำให้ตลกได้เลย
แต่เรื่องที่ผมพูดแล้วสามารถสะกดจิตใจคนฟังได้มากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องซีเรียส
เพราะตามที่สังเกตุมา เวลาผมเล่าเรื่องซีเรียสทีไร จะมีคนตั้งใจฟังผมมากทุกที
ฮ่าๆ คิดมาแล้วก็อยากหัวเราะ
(อยากขำเรื่องที่ผมเล่าเรื่องตลกแล้วไม่ขำนัก)
เหล้ากลมที่สองก็ใกล้จะหมดแล้ว แต่เจ้าบรรยากาศดีๆในการกินข้าวเย็นวันนั้นก็ยังไม่
มีวี่แววว่าจะจบลงอย่างง่ายดาย
แถมมีรุ่นพี่ที่ผมเคารพรักเป็นอย่างยิ่งมาวิจารณ์เรื่องที่ผมเขียนในเว็บด้วยว่าไม่คิดว่า
จะเป็นเรื่องที่ผมเขียนเองเลย นึกว่าเป็นคนอื่นมาเขียนให้เสียอีกเพราะเรื่องที่ผมเขียน
มันจะต่างกับความที่เป็นตัวจริงผมมากเลย เขาว่าอย่างนั้น
ผมก็เลยอธิบายให้ฟังว่าเนี่ยแหละ
ตัวผมที่สุดแล้ว
และแล้วงานเลี้ยงก็ต้องเลิกลา ทั้งๆที่ เหล้าขวดที่สองจะหมดไป แต่เรายังไม่เมากันเลย
แต่ก็ต้องกลับ เพราะ โอกาสข้างหน้าที่ดีๆอย่างนี้ยังมี
ผมก็เลยเดินทางกลับกับเพื่อนคนนึงโดยแทกซี่เพราะมาทางเดียวกัน
ขึ้นไปตอนเมาๆ จะว่าไม่เมาเลยไม่ก็ไม่ใช่ เจ้าคนขับแทกซี่ ก็ไม่รู้ว่าอัดอั้นตันใจมากไหน
ขึ้นไปคุณพี่ก็ใส่เลย ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรต่ออะไร เราก็คุยกับเขาบ้าง ตามมารยาท
คุณพี่คนขับ แกก็พยายามเปิดประเด็นมาเรื่อยๆ ถึงผมจะไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่
ผ่านถนน ผ่านเส้นทางไหนมาคุณพี่ก็เรื่องมาคุยด้วยหมด จนผมไม่คุยด้วยจริงๆ และหันมาคุย
กับเพื่อนที่มาด้วยกัน คุณพี่คนขับแกก็เลยหันไปเปิดเพลงแดนซ์ซะลั้นเลย
ไอ้คุณน้องอย่างผมก็เมาแล้วด้วย ก็รำคาญสิ คนกำลังคุยกัน แต่ดันมีคนมาเปิดเพลงเสียงดัง
ก็เลยบอกกับคุณพี่คนขับเขาไปว่า "โคตรหนวกหูเลย เบาๆเสียงหน่อยได้ไหมพี่"
คุณพี่ก็เชื่อฟังดีมาก รีบเบาเสียงเพลงอย่างรวดเร็ว แต่ขอบอกว่านิดๆ มันยังเป็นระดับเสียงที่
ผมยังรับไม่ได้อยู่ดี ก็เลยคิดว่า เอาไงก็เอาวะ ไหนๆเราก็จะถึงที่หมายแล้ว
ก็เลยไม่ได้ต่อว่าอะไรเขาอีก แต่ก็เห็นใจเพื่อนอีกคนที่ต้องเดินทางต่อกับเขาอีก
เพราะผมต้องลงก่อน
พอลงจากรถแทกซี่มา
รู้สึกว่าตัวเองสบายหูมาก
หลังจากนั้นผ่านมาอีก
6 วัน เป็นวันเกิดโปรแกรมเม่อของเรา (โปรแกรมเมอร์)
ตอนแรกก็นึกว่าจะไม่ได้ไปฉลองแล้วล่ะ เพราะนึกว่าแกจะไปฉลองกับที่รัก
แต่ในที่สุดแฟนเจ้าของวันเกิดก็อณุญาติให้มาฉลองกับพวกเรา ได้ อย่างเต็มใจหรือ
ไม่เต็มใจก็ไม่รู้ ชาวเราก็ตั้งหน้าตั้งตารอ ตั้งแต่ระฆังเวลาเลิกงานยกแรกดังขึ้น
แต่คุณพี่ ผู้ดูแลระบบของเรา
ก็ยังมีงานที่ยังต้องทำ ชาวเราก็เลยต้องนั้งทำตาดำๆรอพี่เขา รอแล้วรอ รอแล้วรอ
พี่ดูแลระบบของเราก็ยังไม่เสร็จ
คิดแล้วก็น่าเห็นใจคุณพี่แกจริงๆ ไม่รู้ใครต่อใคร เวลามีปัญหาก็เรียกแต่คุณพี่แก
ในที่สุดคุณพี่ดูแลระบบก็ทนเห็นสภาพอันกระวนกระวานของพวกเราไม่ได้
โดยเฉพาะตัวผมเอง ที่ตั้งหน้าตั้งตาไปเป็นเกียรติในงานวันเกิดของโปรแกรมเม่อ
ในที่สุดการเดินทางไปร้านเก่าก็ได้เริ่มขึ้น โดยผมกับโปรแกรมเมอร์เจ้าของงานก็ไปรออยู่ที่
ร้านก่อนเหมือนทุกครั้ง
แล้วงานในวันนั้นก็เป็นไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ คิดแล้วยังอยากหัวเราะไม่หาย
เจ้าของงานวันเกิดเราเปิดท๊อคโชว์ครับท่าน
ยิ่งกว่า โน้ตอุดม โชว์เดี๋ยวเสียอีก
หลังจากเหล้าหมดไปกลมนึง ทั้งๆที่เจ้าของงานบอกกับสุดที่รักว่าจะกลับหลังจากหมดกลมนี้
แต่ขอบอก ความเป็นนักทอคโชว์มันอยู่ในสายเลือดต้องโชว์ให้จบจึงจะกลับได้
เหล้ากลมที่สองเลยต้องทำหน้าที่ต่อ มุขโชว์เดี๋ยวของนักทอคโชว์เราก็มีออกมาไม่ขาดสาย
ถึงขนาดที่ว่าเด็กเสริฟทนไม่ไหว่ต้องอู้งาน ออกมานั้งฟัง โต๊ะเราทอคโชว์ บางเรื่องถึงผมจะเคยฟัง
เขาพูดมาบ้าง แต่มันก็ยังขำ แถมโคตรขำด้วยซ้ำ
เล่นเอาว่าหัวเราะกันท้องแข็งทั้งโต๊ะ รวมทั้งโต๊ะข้างๆที่ไม่กล้าขำออกเสีย
และเด็กเสริฟที่เก็บอาการไม่ไหว ต้องหัวเราะเหมือนพวกเราเลยที่เดียว วันนั้นผมก็เลยมีไอเดียบันเจิด
เพราะวันถ้าวันไหนถึงไม่ได้มางานอย่างนี้กัน เมื่อเกิดการรวมตัวกัน ของโปรแกรมเม่อ
กราฟฟิคดีไซน์เหน่อ และ เลขาติ๊งต๊อง วันนั้นก็จะเกิดท็อคโชว์ ของคณะที่ผมตั้งชื่อ
ให้ว่า "ตลกบริโภค" ขึ้นเมื่อนั้น เพราะทุกครั้งที่เขาคุยกัน พวกเขาก็จะมีอะไรมากินด้วย
และ ถ้อยคำที่พวกเขาคุยกัน มันก็เป็นท็อคโชว์ได้ดีๆนี่เอง
ถ้าวันไหนนะ ที่คณะ
"ตลกบริโภค" ได้ออกงานท็อคโชว์ โน้ต อุดม ก็โน้ตอุดมเถอะ
ผมว่าเขาต้องอายแน่ๆ
ฮ่าๆ ใครสนใจ อยากให้คณะ
"ตลกบริโภค" ไปท็อคโชว์ที่ไหน ก็ติดต่อผ่านทางเว็บบ้าๆ
มาได้นะครับ
เมื่อการทอคโชว์ใกล้จบทางเราผู้ฟัง
กลัวว่า แฟนของเจ้าของงานจะไม่แฮปปี้ ก็เลย
ชวนกันปิดงาน
ผมก็เลยอวยพรเจ้าของงานแล้วก็เรียกแท๊กซี่กลับคนเดียว
ใครจะเชื่อว่าไสยศาสตร์จะมีจริง
เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลย
แต่แล้วก็ต้องคิดหนัก เมื่อขึ้นไปบนรถแท๊กซี่ ก็เจอสิ่งที่ไม่คาดคิด
เพราะสิ่งที่ผมเจอในรถแท๊กซี่นั้น ผมคิดว่าผมจะไม่ได้เจออีกเลย แต่ก็ได้เจออีก
เพราะเขาเป็นคนขับแท็กซี่ที่ผมไม่ชอบขี้หน้าวันนนั้นนั่นเอง
มันเป็นไปได้อย่างไร
ไม่อยากเชื่อ "เรียกรถที่ร้านเดิม" "เวลาอาจจะไม่เดิมเท่าไหร่"
แต่ก็ต้องเชื่อเพราะมันเป็นไปแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจถาม
"พี่ รู้สึกว่าเราจะเคยเจอกันเมื่อไม่กี่วันนะ"
คนขับพี่แกคงยังเห็นหน้าผมไม่ชัดก็เลยพูดออกมาว่า
"เออ ผมก็ว่าดูหน้าคุ่นๆ"
ฮ่าๆ เขาจำผมไม่ได้นี่เอง แต่ผมจำเขาได้ขึ้นใจเพราะผมไม่ชอบเขา
ผมก็เลยพยายามชวนเขาคุย เรื่องต่างๆ แต่ แต่
แต่ดูเหมือนว่า เขาไม่อยากจะคุยกับผม
เป็นอะไรผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ
หรือว่าเขาจำผมได้แล้ว ชัวร์เลย
ผมก็เลยมีความจริงใจจะบอกกับเขา เพราะถึงไม่ใช่เขาผมก็ต้องบอกอยู่ดี
เพราะว่า
บริเวณร้านที่ผมไปกินมานั้นไม่มีตู้เอทีเอมให้กดเลย
แถมผมก็ลืมกดมาไว้
ซวยเลย
ก็เลยบอกกับแท็กซี่เขาไปว่า
"ผมมีตังค์เหลืออาจจะไม่พอจ่ายนะพี่ แต่ก็ขาดไม่เยอะหรอก"
พี่แกก็เลยตอบกลับมาว่า
"ไม่เป็นไร มีไม่มีก็บอกกันได้ ขาดสักสิบบาทยี่สิบบาท ก็พอได้ แต่ก็ขอให้บอก
"
ฮ่าๆ ถูกใจผมจริงๆ เพราะถ้าให้ผมลงไปกดตู้เอทีเอ็มยังไงก็คิดว่าแกไม่ยอมแน่ๆ
ผมก็เลยถือโอกาสชวนแกคุยต่อ
ชวยคุยเรื่องคลื่นวิทยุก็แล้ว พี่แกไม่ยอมคุยด้วย
คุยเรื่อง ที่แกเติมแก๊ซ ก็แล้ว แกไม่ยอมคุยด้วย
ฮ่าๆ เชื่อแน่เลยว่าแกจำผมได้
ที่ไม่ยอมคุยกับแกวันนั้น
แต่ในที่สุดแกก็มาส่งผมถึงที่
ตังค์ก็ขาดประมาณ สิบบาทเห็นจะได้
แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์นะ ว่ามันมีจริง ยังไงก็ไม่เชื่อ
แต่ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
ที่เราได้เจอกันอีก
ในช่วงระยะเวลาห่างกันไม่ถึงสัปดาห์
จากร้านเดิม เวลาใกล้เคียงกัน