ผมรู้จักเกมการเล่นฟุตบอลครั้งแรก
สมัยตอนที่เข้าเรียนชั้น
ป.1 ใหม่ๆเลย วันแรกที่ผมรู้จักกับมัน เป็นวันที่ผมจะต้องจดจำไปอีก
นานแสนนาน เพราะผมปล่อยฮา หรือบางที่จะเรียกว่าปล่อยไก่ตัวโตๆ
ออกมาก็ได้
เย็นวันนั้นหลังจากเลิกจากเรียน
ชั้น ป.1 ของเรา เพื่อนๆ
ก็ได้นัดกันมา เตะบอลที่สนามบอลประจำโรงเรียนของเรา
โรงเรียนที่เรียนนั้นเป็นโรงเรียนเล็กๆประจำหมู่บ้านของบ้าน
นอกแห่ง หนึ่ง
สภาพของสนามในตอนนั้นผมยังจำได้ทุกวันนี้
ลักษณะของประตู
ก็จะเป็นเสาไม้ มีไม้ 3 ชิ้นมาประกอบกันเพื่อเป็นประตู ส่วนข้างในสนามนั้น
ก็จะเป็นลักษณะที่เป็นสโลบ แบบไฮเปอร์โบล่า หรือพาลาโบล่าก็ไม่รู้ คือ
จะมี เป็นเนินตรงกลางสนาม แล้วก็ค่อยลาดเอียงลงหาประตูทั้งสองข้าง
วันดีคืนดีก็จะมีหลุมที่เกิดจากการที่คนมาขุดหาแมงกุ๊ดจี้
เพราะการ ที่เป็นเป็นสนามหญ้า ในตอนเช้าๆก็จะมีวัวควายที่เช้าบ้าน
เลี้ยงมาเล็มหญ้าในตอน เช้าๆแล้วก็ปล่อยมูลลงในสนามเพื่อเป็นปุ๋ย
ให้กับสนามเลี้ยงหญ้าและให้เป็นที่ อยู่อาศัยของแมงกุ๊ดจี้เพื่อเป็น
อาหารคนต่อไป
เมื่อถึงเวลานัดกันทุกคนก็เปลี่ยนเครื่องแบบนักเรียนมา
ในชุดนุ่งเล่น( ภาษาแถวบ้านผมใช้)เมื่อมาถึงสนามก็แบ่งทีมกัน
ผมก็มีทีมของผม ทีมของผม ก็กลับมาตกลงกันว่าใครจะอยู่ตำแหน่ง
อะไรยังไง เพื่อนๆทีมผมก็ถามผมว่าจะเล่น เป็นอะไรผมก็ไม่รู้
เพื่อนๆก็เลยให้เป็นผู้รักษาประตูซะ เมื่อเริ่มทำการเล่นเกม
ผมก็เฝ้าประตูตามที่เพื่อนสั่งมาไป เพื่อนบอกอีกด้วยว่าถ้าบอล
มาหาก็ให้รีบไปจับเลยนะ ผมก็นึกในใจ “ของแค่นี้กล้วยๆอยู่แล้ว”
พอเล่นไปได้ไม่นานสักพักผมก็รู้สึกว่าเพื่อนๆที่แย่งเตะ
บอลกันในสนามกันนานเหลือ เกินผมไม่เห็นได้เล่นด้วยเลย
บอลไม่เห็นมาหาผมสักที ก็เลยวิ่งลงไปในสนามเลยครับท่าน
ท่านผู้ชมคิดว่าผมจะไปเตะด้วยล่ะสิ ฮ่าๆ ในขณะที่เพื่อนกำลังแย่งบอลกัน
อย่างสนุกสนาน ณ กลางสนามฟุตบอลประจำหมู่บ้าน นายทวารคนเก่งของเรา
ก็วิ่งไปขว้าลูกฟุตบอล จากแข้งจากขาของเพื่อนๆ แล้วก็นำมากอดไว้ในอ้อมอก
ของตัวเองอย่างอบอุ่น
เพื่อนๆทีกำลังแย่งบ่อยกันเหมือนจะมีอาการงงๆ………………….
แล้วสักพักทุกคนก็ปล่อย ก๊ากกกกกกกกกกก ออกมา
แล้วเพื่อนก็บอกกับผมว่า
การเป็นผู้รักษาประตูนะ
จับบอลด้วยมือได้ก็จริง แต่ เขาก็มีขอบเขตมีเส้นให้ ว่าแค่นี้ๆนะ
(ตอนนั้นสนามบอลบ้านผมมันไม่มีเส้นหรอก)
ผมก็เชื่อฟัง แล้วเกือบทุกเย็นก็จะมาเล่นกันกับเพื่อนๆกลุ่มนี้
บางวันก็เล่นสนามเล็กของโรงฝึกงาน ใช้บอลเป็นลูกปิงปองขนาดใหญ่นิดนึง
เมื่อตอนไหนมีบอลหนังก็เล่นสนามใหญ่ซึ่งตอนนี้เขาก็ปรับพื้นที่สนาม
ให้ได้มาตราฐานแล้ว
เล่าถึงเรื่องบอลแล้วก็ทำให้ได้คิดถึงเพื่อนสมัยตอนเรียน
ประถมอยู่คนหนึ่ง เขาไม่ได้เล่นบอลเก่งอะไรหรอก
แต่เขามีความสามารถทางด้านศิลปะหลายๆอย่าง
เรารู้จักกันตั้งแต่ก่อนเข้าประถมแล้วเพราะ บ้านผมกับบ้านเขาอยู่ข้างๆกัน
แต่ก่อนเข้าประถมเขาก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่เพราะต้องตาม
พ่อแม่ไปทำงาน ต่างจังหวัด พ่อแม่ของเขามีอาชีพรับจ้างทั่วไป
แต่พ่อเขานั้นจะมีความสามารถเรื่องช่างมาก โดยเฉพาะงานช่างทางด้านไม้
ที่เพื่อนผมคนนี้เก่งและมีความคิดสร้างสรรค์ก็คงได้มาจากพ่อของเขา
เพื่อนผมคนนี้ตัวเล็กมาก
มีบ่อยๆที่เขาจะถูกเพื่อนคนอื่นรังแก
แม้แต่ตัวผมเองก็ยังเคยบ้าง แต่ที่ผมทำไปก็เพราะคนอื่นยุยงส่งเสริม
แล้วก็ทำไปตามประสาเด็กๆ
เพื่อนคนนี้จะมีไอเดียอะไรแปลกๆ
ผมก็จะไปนั่งดูเขาทำอะไรของเขา
ผมก็จะถามเขาว่าเขาทำอะไร เขาก็จะไม่ค่อยบอก แต่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ
เหมือนอยากให้เราสงสัยและสนใจ แล้วเมื่องานเขาเสร็จเรา
ถึงได้รู้ว่าเขาทำอะไร
ผลงานไอเดียต่างๆของเขาส่วนมากจะเป็นของเล่นที่ประดิษฐ์เองทำเอง
ต่างๆนาๆมากมายเลย
เพื่อนคนนี้เข้าเรียนช้ากว่าผมปีนึง
ผมจำได้ว่าวันที่เขาได้เขาเรียนนั้น
เขามีความสุขมากเลย มากจนออกนอกหน้า เพราะโดยปกติแล้วเด็กๆทีได้เข้า
เรียนนั้นจะไม่ค่อยอยากไปเรียนเลย แต่เพื่อนคนนี้กลับตรงข้ามเลย
เมื่อเข้าเรียนเขาก็ได้เป็นหัวหน้าห้องทั้งที่ตัวเล็ก
แต่เพื่อนๆก็ชอบเขาเพราะ เขาเก่ง เก่งทั้งเรียนทั้งศิลปะแถมร้องเพลงเพราะอีกด้วย
การที่เขาเป็นคนตัวเล็กก็จะมีเพื่อนๆสมาชิกในห้องแกล้ง
เขาอีกเหมือนเคย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะชาชินไปเสียแล้วล่ะ
มีอยู่ครั้งนึงที่ผมได้เห็นงานศิลปะของเขาที่ไปประกวดชนะได้รางวัลมา
เป็นรูปเกี่ยวกับฟุตบอล คนกำลังเล่นฟุตบอล
สำหรับผมในตอนนั้นก็คิดว่าสมควรแล้วล่ะที่เขาได้รับรางวัล
ภาพนั้นจะเป็น บรรยากาศที่คนกำลังเล่นฟุตบอลกันในสนาม
แต่ไม่ใช่สนามตามบ้านนอกนะ มันเป็นสนามใหญ่ๆ มีคนดูเป็นหมื่นๆ
ที่ผมทึ่งก็คือ เขาคิดได้ไงว่ามันมีป้ายโฆษณา สินค้าหรือสปอนเซอร์ของ
รายการแข่งขันบอลในรูปมาด้วย ผมเป็นเด็กบ้านนอก ไม่เคยเห็นอะไร
อย่างนี้หรอกทีวีก็ไม่ค่อยมีให้ดู
เมื่อเรียนจบประถมแล้วเพื่อนคนนี้ก็ไม่มีโอกาสเรียนต่อ
เพราะที่บ้านพ่อแม่ยากจน และตอนนั้นที่โรงเรียนที่บ้าน
โครงการขยายโอกาสทางการศึกษายังไม่มี
มีอยู่ช่วงนึงที่เพื่อนคนนี้ได้ไปบวชเณรเพื่อที่ว่าจะเรียนต่อ
แต่ก็เหมือนมีมารผจญ เพราะมีเพื่อนเขาอีกคนนึงที่ชอบแกล้งเขา
มากมาบวชด้วย แกล้งเขามาตลอด แกล้งจนมันไม่ใช่ การแกล้งแล้ว
เหมือนกับว่าเพื่อนคนนี้อิจฉาที่เพื่อนคนนั้นเก่งฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์
เห็นว่าตัวเล็ก ก็เลยแกล้งเอาๆ แกล้งไปแกล้งมามันไม่ใช่แกล้งแล้ว
ขนาดบวชเป็นเณรด้วยกัน ก็จะตบตีฆ่าฟันกันแล้ว
เพราะคนที่โดนแกล้งก็รำคาญเป็นเหมือนกัน
ในที่สุดเพื่อนผมคนนี้ก็ต้องสึกออกมา
ตามคำแนะนำของผู้ใหญ่
เพราะถ้าขืนอยู่ต่อไปวัดคงต้องพังแน่ๆ เพื่อนผมคนนี้ก็เลยต้องออกมาทำอาชีพรับจ้าง
ทั่วไปเหมือนกับที่พ่อแม่เคยทำต่อ
ปีใหม่ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เจอกับเขาเพราะกลับไปที่บ้าน
เวลาก็ผ่านมาได้หลายปีแล้วแต่เขาก็ยังทำอาชีพรับจ้างอยู่เลย สภาพเขาตอนนี้แย่มาก
ได้ฟังจากพี่สาวของเขาเล่าให้ฟังว่า เขากินเหล้าหนักมาก
ผมก็ได้มีโอกาสนั้งกินเบียร์กับเขา ก็เป็นจริงเหมือนกับที่พี่สาวเขาบอก
เขาพูดช้ามาก เหมือนใช้ความคิด ในบ้างครั้งคิดไปเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด
คล้ายเป็นคนเก็บกดไม่มีความมั่นใจ หรือบางครั้งอาจเป็นเพราะฤิทธิ์ของเหล้า
ทำให้เขาลิ้นแข็งไป
ผมได้เห็นแล้วก็ได้แต่เสียดายความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของเขา
ที่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน และฝึกฝนต่อy